Article in 2019

 

 

HOME   |  Articles - Book - Poem - SongAUTHOR  |  FILM SCHOOL  |  COMMUNICATION ARTS  |  MY BLOG |

บทความ: ชื่อบทความ

อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า ()

 

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


เวทีความคิด:
วิเคราะห์ - จาก "ผีคอมมิวนิสต์" สู่ "ผีอิสลาม" ความจริง หรือ ภาพสร้าง?

อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า (2019)
14 ธันวาคม 2562

ผมเป็นพุทธ 100% ผมเชื่อและสัทธาใน "ตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ." และผมยังคงเชื่อมั่น และยอมรับ พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก. คือ พระมหากษัตริย์ ทรงทำนุบำรุง อุปถัมภ์ ศาสนาทุกศาสนา ในประเทศไทย, ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 7.

ผมมีคำถามเดียว ที่จะถามว่า เพื่อนรู้สึกอย่างไร ถ้าประเทศไทย จะเสียดินแดนอีกครั้ง!!! จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3 จังหวัด จะถูกแยกเป็นเอกเทศ.

ผมไม่ต้องการคำตอบ.

ปัญหาชายแดนภาคใต้ มีความซับซ้อน และอ่อนไหว สูงมาก.
เพราะเกี่ยวข้องกับ ปัจจัย - อิทธิพล การเมือง ผลประโยชน์ ที่ซับซ้อน.
มันจึงเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการก่อการร้าย ขยายวงกว้าง ออกไป "ตามกาลเวลา - พื้นที่ - บุคคล"

ลุกลาม เข้าไปใน วิถีชีวิตคนเมือง. ภายใต้ส่วนผสม ระหว่าง การสื่อสาร online
กับ "ความเชื่อ" และ "วาทะกรรม" ต่างๆ เช่น

ผี!
กลืนชาติ!
ก่อการร้าย!
พวกโลกสวย!
ตื่นกันหรือยัง ชาวไทย!

คำ ความ เหล่านี้ จะถูกส่งออกไป เหมือนลูกกระสุนยาง.
นิ่มนวล แต่มีพิษร้าย มุ่งหมายกัดกร่อนจิตใจ.
ให้คนเมือง รู้สึกแยกคนอิสลาม ออกไปจากประเทศไทย.
คิดดูเถิด คิดแบบคนรักชาติ รักแผ่นดิน,
จะมีผู้นำคนใด ของประเทศ เขาจะยอมรับได้!!
ถ้าประเทศต้องเสียดินแดนไปอีกครั้ง.

การรับสื่อช่องเดียว ฟังความข้างเดียว เลือกรับแต่เรื่องที่ถูกใจอย่างเดียว,
เพื่อนเอ๋ย ... ฟังบ่อยๆ ดูบ่อยๆ เหมือนไม่มีอะไร,
แต่นานๆ ไป จิตใจของเราก็เริ่มจะเชื่อว่า มันเป็นเรื่องจริง.

ตรรกะ และ เหตุผล จะเริ่มหายไป, เมื่อ ความเชื่อ เริ่มแสดงผล.

อิทธิพลของ ความเชื่อ (มิจฉาทิฐิ), เมื่อเสพบ่อยๆ เสพไปนานๆ
ย่อมทำลาย กัดกร่อน จิตวิญญาณ ของเรา ไปทีละน้อยๆ ๆ ๆ,
จนส่งผลให้เกิดความไม่สบายใจ คับแค้นใจ.
ที่ร้ายสุดคือ สร้างความเคียดแค้นชิงชังให้เกิดขึ้น ในใจเรา. ความเป็นจริง "คนร้าย" มันส้องสุม
แฝงตัว อาศัย (สวมเสื้อ) อยู่ในทุกศาสนา
ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม, ทั้งในสังคมวิถีชีวิตใกล้ตัว
และแม้กระทั่ง ภายในรัฐบาล.

Fake NEWS นั้น ไม่ใช่เรื่องจริง
มันถูกแต่งขึ้น จากคนร้าย ที่ไม่หวังดี ...

คนร้ายที่ว่านี้ ในใจของเขา มีแต่ "ความเกลียดชัง."
เกลียดชัง เพื่อนมนุษย์ เกลีดชัง ความดีของคนอื่น (ริษยา).
เขาจึงมุ่ง "สร้าง" เรื่องต่างๆ, ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แล้วส่งออกไปใน social online.

เขาไม่ได้คาดหวังผล ในวันนี้ พรุ่งนี้.
แต่เขาหวังผล ในอีกสิบปี ยี่สิบปี หรือห้าสิบปี.

เพื่อนจำได้ไหม ครั้งนั้น ในอดีต,
อเมริกา ปลุกผีคอมมิวนิสต์ ขึ้นมา,
หลอกให้เชื่อว่า คอมมิวนิสต์ คือ ปีศาจร้าย.
แต่แค่ร้อยปีผ่านไป เรากลับคบค้าสมาคม และต้อนรับ
ลูกหลานพวก คอมมิวนิสต์ (จีน) อย่างน่ายินดี.

และเรา ก็ไม่เคยเกรงกลัวว่า
สักวันหนึ่ง เราจะถูกจีน กลืนชาติ. เราไม่กลัว เราไม่เชื่อ ว่าจะเป็นเช่นนั้น
เพราะอะไร?

ก็เหมือนกับ วันนี้แหละ !
ที่เราถูกปลุก ให้รู้สึกกลัวผีอิสลามขึ้นมา เช่น
อิสลาม กำลังจะกลืนกินพุทธ และลุกลาม
ไปจนกระทั่ง เชื่อและกลัวว่า
อิสลามจะ "กลืนกิน" ประเทศไทย.

พวกเขา จะข้อมูลต่างๆ เช่น เรื่อง ภาพ เหตุการณ์
ที่เป็น jig saw (บางชิ้น จริง บางชิ้น ไม่จริง)
มาทำการปั้น แต่ง ตัด ปะ ต่อ ให้เป็น "เรื่องใหม่" ที่มีวัตถุประสงค์ใหม่
ตามที่พวกคนร้าย พวกคนริษยา ต้องการจะให้เป็น.

พวกคนร้าย พวกคนริษยา
มีจิตวิทยาสูง และ อดทน
รอผลผลิตของเขา ในอีกห้าสิบปี.
แต่คนไทยที่มีความรู้สึกอ่อนไหวง่าย ไม่อดทน
ไร้เหตุผล มีมโนทัศน์แคบ
ชอบนินทา ว่าร้าย ก็จะส่งข้อมูลเหล่านั้น ออกไปแบบ 'ปากต่อปาก.'

คิดดูเถิดว่า ใครจะเป็น "เหยื่อ" ของใคร?

เมื่อคนไทย เกลียดชัง คนอิสลาม,
พวกคนร้ายแบ่งแยกดินแดน ก็จะมีข้ออ้างอันชอบธรรม
ว่า คนอิสลาม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่คนไทย ไม่พูดภาษาไทย พวกเขาจึงต้องการแยกดินแดน.

อุบายชั่วร้ายพื้นๆ แบบนี้ เพื่อนจะไม่รู้เชียวหรือ? อย่าให้ ความเชื่อ (ที่สะสมจากสื่อ online) ความอ่อนไหว (ที่สะสมจาก นิยายน้ำเน่า) ความเกลียดชัง (ที่สะสมจาก Fake NEWS) ความริษยา (ที่สะสมในใจ) ของเพื่อน ไปทำลายความมั่นใจของเพื่อนๆ เลย.

จงเชื่อมั่นใน
- ประเทศของเรา
- ศาสนาของเรา
- พระเจ้าอยู่หัวของเรา
- วัฒนธรรมของเรา
-รัฐบาลของเรา
และ
-เพื่อนร่วมชาติของเรา.

สิ่งที่จะทำให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย คือ การรู้เท่าทัน
แนวคิด 'ลักษณะเดียวกัน'
พฤติกรรม 'รูปแบบเดียวกัน'
ภาษาสื่อสาร 'วจนเดียวกัน'
ของพวกคนร้าย พวกคนริษยา. ซึ่งสามารถทำได้ ด้วยการใช้ มโนทัศน์สัมพัทธภาพ
(conceptual relativity).

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
วิเคราะห์ - ปัญหาวิกฤต ในระบบสังขตธรรม เป็นปัญหาวิกฤตของใครกันแน่?

อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า (2019)
13 พฤศจิกายน 2562

'ดร.อาทิตย์' เผยวิกฤตใหญ่ ที่อยากให้เตรียมรับมือ!

12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 16:08 น.
(ข่าวจาก ไทยโพสต์ ออนไลน์ ฉบับ วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562)

12 พ.ย.62 - ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Arthit Ourairat ว่า วิกฤติใหญ่ที่อยากให้เพื่อนๆเตรียมรับมือเด้อ. !

เมื่อวานมีโอกาสนั่งฟัง "ผู้ใหญ่" เค้าคุยกัน

สรุปว่า ตั้งแต่นี้ไป จะมีวิกฤติโลก โหดๆ อยู่หลายเรื่อง ที่พวกเราต้องรับมือกันเอง หวังพึ่งรัฐบาลไม่ได้แน่ๆ (เพราะ ส่วนนึงของวิกฤติมาจากรัฐน่ะแหละ).

A. ตอนนี้ตัวเลขคนว่างงาน อยู่ที่ 1 ล้าน 1 แสนคน ใน กทม.

B. ทั้งๆที่ยังมีงานที่ต้องการคนอยู่ ซึ่งเป็นผลจากปัญหาการศึกษาและการพัฒนาคน.

C. มีธุรกิจมากกว่าที่เราคิดทยอยเจ๊ง เพราะ โดน disrupt โดย TECH ที่ไม่ใช่แค่ social network นี่ยังไม่นับ AI ที่รอเสียบอยู่ "มันทำต้นทุนถูกกว่า 20% ได้ โรงงานที่เหลือก็ไปหมดแล้ว".

D. จีนตอนนี้พัฒนาเรื่อง TECH ไปไกลที่สุดในโลกแล้ว ฝรั่งเทียบไม่ติด.

E. แน่นอนว่า TECH ก็จะทำให้คนจีนตกงานเอง รัฐบาลจีนเลยวางแผนต่อเนื่อง ให้คนจีนกระจายออกไปยึดหัวหาดทั่วโลก คนจีนจะได้มีงานในประเทศอื่น นอกจาก export สินค้าแล้ว ก็ export คนต่อเลย.

F. นี่คือ การล่าอาณานิคมแบบลึกซึ้งและแนบเนียนของจีน ที่โหดกว่าอเมริกานัก คือ ยิ่งกว่า OTOP อ่ะ แบบว่าพัฒนาจากทัวร์ 0 เหรียญ เป็นเมือง 0 เหรียญไปเลย.

G. สิ่งที่แย่ที่สุดอย่างนึง ที่ คสช. ทิ้งไว้ให้คนไทย คือ การที่สมคิดเอื้อทุน และ เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ให้จีนเอาสินค้าจีนมาลงโดยภาษี 0% จากนั้นก็ขายของ online ต่อ ซึ่งสินค้าจีนหลายตัวราคาถูกกว่าของไทย 3 เท่าได้เลย ยังไงสินค้าทั่วไปของรายย่อยไทย ถ้าจีนทำแข่งได้ ก็เตรียมเจ๊ง.

H. วิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกคราวนี้ จะโหดกว่า ปี 40 เยอะ และเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!!

(อ้างอิงจาก - 'ดร.อาทิตย์' เผยวิกฤตใหญ่ที่อยากให้เตรียมรับมือ! #LINETODAY
https://today.line.me/TH/article/2WJq9j?utm_source=lineshare)

แต่ ผมเห็นแย้ง ในบางเรื่อง. ดร.อาทิตย์ พูดถูก ไม่ทุกเรื่อง.
เพราะมองในมิติ เศรษฐกิจ การเมือง (ระดับมหภาค) มากเกินไป.
ทางออกของปัญหา ... จึงไม่มี มองไม่เห็น.

ทั้งๆ ที่ เศรษฐกิจในมิติขนาดเล็ก (จุลภาค) ยังมีและเป็นไปได้ เศรษฐกิจมิติขนาดเล็ก จะเกี่ยวข้องผูกพันกับ ศาสนาและจิตวิญญาณ. หากมองในรูปธรรม ก็คือ เศรษฐกิจพอเพียง มีไว้รองรับสิ่งที่เรียกว่า วิกฤติปัญหา ไว้แล้ว. เพียงแต่ว่า ไม่ค่อยได้รับการตอบสนอง ผลักดันจากภาครัฐเท่าที่ควร. ประชาชน จึงถูกผลักเข้าสู่ กระแสเศรษฐกิจมหภาค (ทุนนิยม) อย่างไม่มีทางเลือก. นั่นคือ ปัญหาต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นตามมา.

ในสารระบบของ #สังขตธรรม
(สิ่งที่เกิด ที่มี ที่เป็น ล้วนเกิดจาก การปรุงแต่ง),
ไม่มีความเที่ยงแท้ แน่นอน.
มนุษย์ ยึดเอาเกณฑ์ เวลาของตนเอง
มาตัดสิน ปัญหา วิกฤตต่างๆ.

โลก เปลี่ยนแปลง แค่เล็กน้อย เพื่อปรับสมดุล.
แต่มนุษย์ ไม่ยอมเปลี่ยน
กลับเห็นเป็นภัย เป็นวิกฤต ใหญ่หลวง,
แล้วโทษ โน่น นั่น นี่
โทษรัฐบาล โทษเศรษฐกิจ โทษการเมือง.

ในสาระบบของ #สังขตธรรม
โลก สังคม ประเทศชาติ ผู้คน
ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตาม
ธรรมชาติ + กิเลสมนุษย์ + โง่เขลา หลงตัว.

ถึงอย่างไร ก็ย่อมเผชิญกับ
ชะตากรรมร่วมกัน แท้แน่นอน.

นักคิด นักเศรษฐศาสตร์ นักการเมือง
และ สารพัดนัก ... พยายามบอกว่า
ต้องทำตาม สิ่งที่ตนเองพูด ตนเองแนะนำ
อย่างโน้น อย่างนี้.

พูด บอก พล่ามกันมาเป็น ร้อยปี,
สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" (ซึ่งอาจไม่ใช่เสมอไป)
ก็ไม่หมดไป. กลับเพิ่มเป็นทวี และถ่ายทอด
ไปยังคนรุ่นหลัง ไม่มีวันสิ้นสุด.

สาเหตุเพราะ ความดื้อรั้น ที่จะเอาชนะ
"วิถีแห่งสังขตธรรม" (การเปลี่ยนแปลง การปรุงแต่ง).
แทนที่จะพยายาม "ผสมโรง" อยู่กับมันให้ได้.

นั่นคือ การปกป้อง การสร้างภูมิคุ้มกัน อย่างฉลาด
ตามวิถีแห่งศาสตร์พระราชา และ
ตามวิถีแห่งพุทธศาสน์.

ความวิตกกังวล ตามข่าวนี้ จะไม่หายไป,
ปัญหาวิกฤต ตามข่าวนี้ จะไม่สลายไป,
ตราบใดที่ คนผู้นั้น ยังโง่ไม่เสร็จ.

ขอให้ไปดูตัวอย่าง ชุมชนชาวอโศก
ที่กรุงเทพมหานคร อุบลราชธานี ศีรษะเกษ
นครราชสีมา นครสวรรค์ ตรัง,
ใกล้ที่ไหน ไปดู ไปศึกษาที่นั่น.
หรือชุมชนวัดนาป่าพง ปทุมธานี.

พวกเขาพัฒนาตนเอง สวนทางกับ
สิ่งที่บุคคลภายนอก เรียกว่า ปัญหา วิกฤต ได้อย่างไร?
เขาก็เป็นมนุษย์เดินดินเหมือนกัน
เขาทำได้ แต่ทำไม พวกท่านทำไม่ได้?
แล้วไปเรียกร้อง "รัฐบาลช่วยฉันที!!" ๆ ๆ ๆ.

อย่ามอง ปัญหาวิกฤต ว่าเป็นเรื่องใหญ่
อย่าตื่นข่าว ปัญหาวิกฤต ว่าเป็นภัยร้าย
อย่าท้อแท้กับปัญหาวิกฤต ว่าเราแก้ไขอะไรไม่ได้.

เพราะฟังนักวิชาการมากเกินไป,
เพราะอ่อนไหว เชื่อข่าวลือ ข่าวลวง มากเกนไป,
เพราะโลภอยากได้ของฟรี มากเกินไป,
เพราะชอบสนุก บันเทิง มากเกินไป,
จึงทำให้ท่าน แตกตื่น ท้อแท้ สิ้นหวัง.

เพราะปฏิเสธ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
จึงเกิดความเชื่อผิดๆ ว่า ศาสตร์พระราชา
ก็เป็นแค่ วาทะกรรม.

ทำไมไม่ฟัง คำของพระศาสดา กันเสียบ้าง,
จะได้ไม่โง่!!
จะได้สิ้นข้อสงสัย!!
จะได้หายกังวล!!

ว่าปัญหาวิกฤต มันเป็นปัญหาวิกฤต จริงหรือ?

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
ระวัง! พุทธในประเทศไทย จะสูญสิ้น เหมือนในอินเดีย

“เหตุที่พุทธสูญสิ้นที่อินเดีย”

อินเดียเจอมาแล้ว...ไทยอย่าเป็นรายต่อไป!! สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโต) ได้ชี้ชัด "ใครทำให้พุทธอินเดียถึงกาลอวสาน?" ... พุทธไทยรู้แล้วอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!!
แต่ ... สายไปแล้ว.

มูลเหตุแห่งการเสื่อมสูญ ของพระพุทธศาสนา ในประเทศอินเดีย ลุกลามมาถึงไทยนานแล้ว จนเข้ามายึดพื้นที่เกือบเต็มประเทศแล้ว. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโต) ได้รวบรวมสาเหตุไว้ 4 ประเด็น คือ

1. ใจกว้างจนลืมหลัก เสียหลักจนถูกกลืน - หลักธรรม อันเป็นแก่นของพุทธ คือ #อิทัปปัจจยตา - ปฏิจจสมุปบาท - อริยสัจสี่. แต่ หลักธรรมนี้ ถูกสาวกผู้เนรคุณ ฝังกลบ และบิดเบือนไปเป็นอันมาก. และ หลักธรรมนี้ ถูกกลืนโดย พราหมณ์ ฮินดู ไสยศาสตร์ มนต์ดำ ทุนนิยม-บริโภคนิยม ไปเกือบหมดสิ้น. ปัจจุบัน มีชาวพุทธ น้อยคนมาก ที่รู้จัก หลักธรรมข้อนี้.

2. คลาดหลัก "กรรม" คลำไปหา "ฤทธิ์" - โดย ลัทธิดลบันดาล (ลัทธิ 'ขอ' พลัง อำนาจ ของสิ่งอื่น กระทำให้). เจตนา เป็น กรรม. แต่พุทธศาสนิก ผู้โง่เขลาและทรยศ ชอบที่จะบิดเบือนเจตนาของตน ผ่าน มุสาวาทบ้าง กามบ้าง ราคะบ้าง โทสะบ้าง แล้วกลบเกลื่อน ด้วยการพากันไปพึ่ง ฤทธิ์ อิทธิ ปาฏิหาริย์ เพื่อนหวังหลบหลีกเจตนาชั่วหยาบ ของตน เพื่อไม่ต้องไปรับผลแห่งกรรมของตน.

3. เฉยไม่ใช่ไร้กิเลส แต่เป็นเหตุให้พระศาสนาสิ้น - ชาวพุทธ สะสมกิเลส ภายใต้ระบบ ทุนนิยม-บริโภคนิยม ที่ผู้ปกครองประเทศ ปล่อยให้ ครอบงำ วัด ศาสนสถาน พิธีกรรม พิธีการ และวัฒนธรรม ที่เป็น 'วิถีพุทธ' จนกลายเป็น 'วิถีพาล' สร้างความอ่อนแอ โง่เขลา แก่พุทธศาสนิก.

4. โจรเข้ามาปล้นศาสน์ เลยยกวัดให้แก่โจร - พระสงฆ์ ในคราบของอลัชชี ทุศีล ผู้ครอบครองศาสนสถาน และเป็นผู้นำ การเผยแพร่ และ การปลูกฝัง ลัทธิดลบันดาล ไสยศาสตร์ มนต์ดำ.

ตราบใดที่ "พุทธวจน" ยังปรากฏอยู่ ตราบนั้น พุทธศาสนา ก็ยังดำเนินต่อไปได้ (แม้ว่า พุทธวจน จะถูกบดบังด้วย สุตตันตะของโมฆะบุรุษ ดุจ 'กลองอานกะ' ก็ตาม).

ในผืนผ้าดำ ย่อมมีจุดสีขาว ซ่อนอยู่ ให้ผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ ได้ศึกษาและปฏิบัติ อย่างถูกต้อง ตามวิถีพุทธวิถีธรรม.

"ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน"

"ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสุตตันตะเหล่าใดที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญาตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน จึงพากันเล่าเรียนไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า "ข้อนี้เป็นอย่างไร? มีความหมายกี่นัย?" ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้. ธรรมที่ยังไม่ปรากฎเธอก็ทำให้ปรากฎได้, ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัยเธอก็บรรเทาลงได้"

[ไตรปิฎก บาลี - ทุก. อํ. 20/68/292.]

3 ต.ค. 2562

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ: อิสลาม กับ การก่อการร้าย จริงหรือ?

อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า (2019)

อิสลาม กับ การก่อการร้าย จริงหรือ?
เหยื่อ "การมองโลกสวย" กับ "การรู้เท่าทัน" นั้น แตกต่างกันสุดขั้ว.

ระวังจะตกเป็นเหยื่อ กระแสข่าว
มองให้เห็น เข้าให้ถึง ความเป็นจริง

โลกไม่ได้สวย อย่างที่เป็น
โลกโหดร้าย อย่างที่เห็น

เพราะ ความโหดร้าย ของ "คนร้าย"
ที่สร้างเกราะกำบัง อำพรางตัว
เข้ารุมทำร้าย ประเทศ ชาติ สังคม ในประเทศต่างๆ
ด้วยวิธีการ ด้วยวิถีทาง ที่พวกเขาต้องการ ให้เป็น

ในความเป็นจริง มีกลุ่มโจร ผู้ก่อการร้าย
ที่แอบอ้างเอาศาสนา บังหน้า
แล้วใช้ความรุนแรง จนเป็นผลให้
ศาสนาที่ตนแฝงเข้าไป เกิดความเสียหาย
ทำลาย ทั้งภาพลักษณ์ และ ภาพพจน์
แห่งศาสนานั้น ... มันมีอยู่จริง

มิใช่ใน อิสลามเท่านั้น
แต่มีอยู่ในทุกๆ ศาสนา

ขึ้นชื่อว่า โจร ผู้ก่อการร้าย ไปอยู่ ณ ประเทศใด
ก็จะเป็นที่รังเกียจ ของคนในประเทศนั้น
จริงแท้แน่นอน

ปัจจุบัน โจร กลุ่มนี้ ได้กลายเป็น วัตถุดิบ
สำหรับ "คนร้าย" ที่จะนำไปสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง
ด้วยการ สร้างภาพโจรให้น่ากลัว ในสื่อออนไลน์
ซึ่งที่จริง โจร มันก็ร้ายจริงๆ

และ "คนร้าย" เหล่านั้น
ก็อาศัยสถานการณ์ ความอ่อนไหวของผู้คน
ความไม่รู้จริงของผู้คน ความตื่นตระหนกของผู้คน
สร้าง ความแตกแยกในสังคม
เพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง ??
หรือการรับจ้างมาสร้าง ความปั่นป่วน
ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
ซึ่งผู้ว่าจ้าง ได้ส่งผ่านคำสั่งและผลประโยชน์ มาเป็นทอดๆ

ตราบใดที่คนไทย ยังขาดวิจารณญาณ
ในการเสพข่าวสาร ก็ย่อมตกเป็นเหยื่อ
ช่วยพวกเขา (พวกมัน) แชร์ และ
ส่งข้อมูลที่บิดเบือน ต่อๆ กันไป
ด้วยคำเชิญชวน คำร้องขอ คำขู่

และก็จะมี กลุ่มคนที่อ่อนไหว และอ่อนแอทางอารมณ์
กระทำตาม คำเชิญชวน คำร้องขอ คำขู่ เหล่านั้น
เพราะเกรง จะถูกตราหน้าว่า "เป็นคนโลกสวย"

คนรู้เท่าทัน ย่อมไม่ตกเป็นเหยื่อ
จงใช้มโนทัศน์สัมพัทธภาพ ในการมอง
ให้เห็น ให้เข้าถึง ความจริงแท้ ก่อนที่ท่าน
จ ะ ต ก เ ป็ น เ ห ยื่ อ.

หมายเหตุ

(1) "คนร้าย" กับ "โจร - ผู้ก่อการร้าย" เป็นคนละคนกัน.

(2) ความจริงอีกด้าน คือ อเมริกา เป็นฝ่ายรุกราน ดินแดนตะวันออกกลาง และดินแดนอื่นๆ ทั่วโลก มานานหลายศตวรรษ จนเกิดการต่อต้านโดยเจ้าของดินแดน ในลักษณะ ผู้ก่อการร้าย. ความจริงด้านนี้แหละ ที่เป็นต้นกำเนิด ความวุ่นวายทางการเมือง ในไทย ในฮ่องกง และในอีกหลายๆ ประเทศ.

(3) ผู้ก่อการร้ายที่นับถืออิสลาม แต่อาจไม่ใช่ อิสลาม เพราะ ไม่มีพระเจ้าองค์ใดๆ ในทุกศาสนา ที่ต้องการให้เกิดความรุนแรง ... ศาสนาพุทธ ก็มีโจรแฝงตัวอยู่ ตั้งมากมาย ในร่างของพระ นักการศาสนา นักการเมือง เพียงแต่ไม่ได้ใช้ ระเบิด อาวุธสงคราม ในการปล้นเท่านั้นเอง ... ศาสนาพราหมณ์ นั้นลุ่มลึกกว่า ปล้นนิพพาน ที่เป็นอริยทรัพย์ของมนุษยชาติ ... ลัทธิไสยศาสตร์ - เดรัจฉานวิชชา - มิจฉาทิฐิ นั้นร้ายยิ่งกว่าโจรเป็นร้อยเท่า พันเท่า เพราะคนเรามักมองไม่เห็น ซ้ำคบเป็นมิตรแนบสนิท มาหลายภพชาติ ที่ชัดเจนที่สุด เช่น หวย สะเดาะห์เคราะห์ ขอโชคลาภ.

(4) สาเหตุที่ ประเทศต่างๆ ในยุโรป ตามที่กล่าวอ้างมา ปฏิเสธชาวอิสลาม เป็นเพราะ กลุ่มผู้ก่อการร้าย อาศัยร่าง อิสลาม ในการก่อการ มิใช่ชาวอิสลามแท้จริงทั้งหมด. สงครามระหว่างยุโรป กับ ตะวัออกกลาง มีมาเป็นพันปีแล้ว ย่อมเป็นเหตุเป็นผล เป็นการยากที่พวกเขาจะแสดงไมตรีต่อกัน ไทยพุทธ ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย.

(5) คำเชิญชวน คำร้องขอ คำขู่ ให้แชร์ และ ส่งต่อ ข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่า post ใดๆ ในสื่อออนไลน์ โปรดเข้าใจเป็นเบื้องต้นไว้ก่อนว่า เรากำลังจะตกเป็น "เหยื่อ" หรือไม่? และ อาจเข้าข่าย ผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ แม้ว่า "ดูเหมือนว่า" จะเป็นเรื่องดี แต่ถ้ามันเป็นความเท็จ อย่าแชร์ - shure before share.

(6) - มโนทัศน์สัมพัทธภาพ คืออะไร
อ่าน สัมพัทธภาพวิทยาศาสตร์–พุทธศาสน์ ใน:

สรรพสิ่งสัมบูรณ์ ด้วยสัตตะธัมมะธาตุ:
สัมพัทธภาพ ของ ความจริงสมมุติ กับ ความจริงปรมัตถ์
The 7-Element Absolute of Everything

http://www.igoodmedia.net/?#the-7-element
http://www.igoodmedia.net/author/index.html?#the-7-element

-มโนทัศน์สัมพัทธภาพ-

ทุกปัญหา ย่อมมี วิธีแก้
อย่ายอมแพ้ แม้ยาก มากเงื่อนไข
เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนเวลา กล้าเปลี่ยนใจ
อุปสรรค จักสลาย คลายทางตัน

ทุกข์ปัญหา ย่อมอยู่ คู่ชีวี
แม้จะลี้ หนีไป ในสวรรค์
จงพินิจ คิดอุบาย สลายมัน
ใช้กายขันธ์ เป็นอาวุธ รุดเอาชัย.

1 กันยายน 2562

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ: ภายใต้การครอบงำของ ลัทธิอำนาจนิยม ผ่าน "ธุรกรรม แบบสำเร็จรูป" การปฏิรูปการศึกษาของไทย จึงไม่สามารถทำได้

อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า (2019)

บทความสั้น - "ภายใต้การครอบงำของ ลัทธิอำนาจนิยม ผ่าน "ธุรกรรม แบบสำเร็จรูป" การปฏิรูปการศึกษาของไทย จึงไม่สามารถทำได้"
โดย สู่ดิน ชาวหินฟ้า (2019) - igoodmedia.net
23 กรกฎาคม 2562

ลัทธิอำนาจนิยม เป็นอุปสรรคใหญ่ ต่อการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย. ลัทธิอำนาจนิยม จะผูกติดกับวัตถุนิยม บริโภคนิยม ทุนนิยม โดยการสร้างระบอบประชาธิปไตย ให้เป็นม่านคอยปิดบังความละโมภ และชั่วร้ายของตน. แท้จริงแล้ว อำนาจนิยม เป็นศูนย์รวมของแนวคิด นโยบาย และวิธีปฏิบัติ ที่มุ่งสนองตอบ ความต้องการของบุคคล เพียงไม่กี่คน ในการจัดการศึกษาของไทย มานานนับศตวรรษ. และบุคคล เพียงไม่กี่คนเหล่านั้น ถูกฝังหัวเป็นทาสนิยมตะวันตก หรือจักรวรรดินิยมอังกฤกษ-อเมริกา และใช้อำนาจในความเป็นทาส กำหนดทิศทาง การจัดการศึกษาตามใจชอบ.

เมื่อลัทธิอำนาจนิยม หยั่งรากลึกในราชการไทย จึงส่งผลต่อแนวนโยบาย การจัดการศึกษา ที่ต่างควบคุมคุณภาพของผู้เรียน ให้ออกไปรับใช้ ระบอบทุนนิยม-บริโภคนิยม ดุจยาพิษที่ถูกซ่อนไว้ในนโยบายเหล่านั้น ด้วยการทำให้เยาวชนไทย ฉลาดในเรื่องโง่ๆ และ รู้สึกเป็นไท ในการเลือก ที่จะเป็นทาสวัตถุนิยม อย่างภาคภูมิใจ.เรามักมารู้ความจริงภายหลัง ว่าที่ผ่านมานั้น เราปล่อยให้โรงเรียน สถานศึกษา มหาวิทยาลัย ยัดเยียด สั่งสมสมบัติของ "ความโง่" และ "ความเป็นทาส" โดยไม่รู้ตัว. จะเห็นได้ว่า เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตัล และเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์. ปรากฏว่า เยาวชนไทย กลายเป็นทาส "ทันสมัย" ไปเสียแล้ว. ส่งผลให้ การศึกษาของไทย ตกอยู่ในวังวนของ "ธุรกรรม แบบสำเร็จรูป" ติดต่อกันมา อย่างยาวนาน. นี่คือ กำแพงที่ขวางกั้น การปฏิรูปการศึกษา ของประเทศไทย ที่ไม่อาจทลายลงมาได้.

ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา การศึกษาของไทย จะถูกตีด้วยกรอบคิดแบบตะวันตก มุ่งรับใช้วัตถุนิยม. ในขณะเดียวกัน ก็ทำลายศีลธรรมอันดีไปด้วย. กรอบคิดที่ชัดเจนที่สุด คือ ตลอดกระบวนการ การผลิตทรัพยากรมนุษย์ ของกระทรวงศึกษาธิการ (input - process - output) จะวางแนวคิด หลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การประเมินผล ผูกติดกับปัจจัย 3 ประการ คือ บุคคล เวลา และ สถานที่. โดยให้ปัจจัย 3 ประการ ดังกล่าว เป็น "แบบสำเร็จรูป" ที่ใครๆ ไม่อาจละเมิด แก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ (เพราะมีอำนาจนิยม คอยคุ้มกันอยู่).

(1) ครูผู้สอน ผู้เรียน และผู้ปกครอง ถูกกำหนดคุณสมบัติ ด้วยเกณฑ์ "ครูสำเร็จรูป". โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ด้านกายภาพ (วุฒิความรู้) ส่วนกฎเกณฑ์ด้านจิตภาพ (อารมณ์ ศีลธรรม) ไม่ใช่สาระสำคัญ. ผู้เรียน ถูกแบ่งแยกและกีดกัน ภายใต้กฎเกณฑ์อายุ เชื้อชาติ ศาสนา ฐานะ ความร่ำรวย ตลอดจน ความสมบูรณ์ของกายภาพและจิตภาพ. เด็กยากจน เด็กพิการ ไร้ความสามารถ เด็กที่มีปัญหาทางจิต จะถูกกีดกันออกไปจากระบบ ทั้งๆ ที่เด็กทุกคน (ทั้งเด็กปกติ เด็กผิดปกติ) จะต้องอยู่ในสังคมเดียวกัน ชุมชนเดียวกัน วัฒนธรรมอย่างเดียวกัน พวกเขาควรจะมี ความเอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน แต่กลับถูกแบ่งแยก และกีดกัน. พ่อแม่ ผู้ปกครอง ไม่มีทางเลือกอื่น ที่จะให้บุตรของตน ได้รับการศึกษาในรูปแบบอื่น นอกจาก "แบบสำเร็จรูป" ที่จัดโดยกระทรวงศึกษาธิการ เท่านั้น.

(2) เวลา ที่ถูกกำหนดตายตัวไว้แล้ว จะเป็นเกณฑ์วัดผลประเมิน ในการจบการศึกษาระดับต่างๆ. ซึ่งความเป็นจริง วุฒิภาวะ ความพร้อม ฐานะทางเศรษฐกิจ ความเจ็บป่วย ของเด็กผู้เรียน ไม่เท่ากัน แต่ก็ถูก "เกณฑ์เวลาสำเร็จรูป" ให้ต้องเรียน ต้องทำกิจกรรม ต้องสอบวัดผล ตามเกณฑ์นั้น ถ้าทำไม่ได้ จะไม่ผ่านและจะถูกกีดกันไปอยู่ในฝั่ง ของคนล้มเหลว คนโง่ ในสังคม.

(3) โรงเรียน คือ "สถานที่สำเร็จรูป" บ้าน ไม่อาจใช้เป็นโรงเรียนได้ ทั้งที่ความเป็นจริง แม่พ่อ คือครูคนหนึ่ง (ครูคนแรก) บ้าน คือโรงเรียนหลังแรก คำสั่งสอนอบรมของแม่พ่อ คือหลักสูตร ความกตัญญูรู้คุณ ขยันช่วยพ่อแม่ทำการงาน คือเกณฑ์ประเมินผล ที่จะได้รับเลื่อนฐานะเป็นเด็กดี. แต่สิ่งเหล่านี้ กลับถูกกีดกันออกไป ให้เป็นหน้าที่สำเร็จรูปของโรงเรียน.

เรามาดูกันว่า ในรอบครึ่งหลังของศตวรรษที่ผ่านมา โรงเรียนสำเร็จรูป ครูสำเร็จรูป และหลักสูตรสำเร็จรูป และสารพัดสำเร็จรูป (โดยเรียกชื่อให้ดูโก้ๆ เช่น child center, backward design, bbl, pic, stem, ตลอดจนอุปกรณ์สำเร็จรูป นานาสารพัด) มีสภาพอย่างไร และได้สร้างผลงานทุเรศอะไรไว้บ้าง หรือให้เป็นที่ประทับใจในเชิงบวกบ้าง.

มีความเห็นส่วนหนึ่ง ของผู้ใช้นามว่า Mr.Boy ซึ่งเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ ได้สะท้อนภาพจริงในสังคมการศึกษาของไทย ไว้อย่างน่าสมเพท ตอนหนึ่งว่า

"... ปัจจุบัน ครู เรียนจบสูง จบปริญญาตรี โท เอก เป็นดอกเตอร์. ครู อบรมทุกๆ อย่าง เกียรติบัตร โล่เกียรติคุณ ถ้วยรางวัลเต็มห้อง. ครู เงินเดือนเยอะ เงินประจำตำแหน่ง เงินวิทยฐานะ เงินค่าตอบแทน. ครู มีตำแหน่งสูงขึ้น. ครู มีไฮเทคโนโลยีทุกๆ อย่าง. ครู มีห้องแอร์ ห้องปฏิบัติการต่างๆ มากมาย.
แต่ นักเรียน อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดคำนวน คิดวิเคราะห์สังเคราะห์ แยกแยะไม่ได้. คุณธรรมจริยธรรมศีลธรรมเสื่อมหายไป โชว์เรือนร่างทางโซเชียล หายอดไลค์ หาเงิน ยกย่องคนฆ่าหั่นศพ แก้ผ้าโชว์. คนที่ทำไม่ดีทางโซเชียลว่าเป็น เน็ตไอดอล. เล่นบอลพนันออนไลน์. เสพยา ขายยาเสพติด ขายตัว มั่วเซ็กส์. ตบตีกันแย่งผัวแย่งเมีย ตั้งแต่เป็นนักเรียน. ตอนเรียนก็อยู่หอ เป็นคู่ผัวตัวเมียกัน. ทั้งก่อคดีฆ่าข่มขืน โดดตึกตาย ฆ่าตัวตาย. ปัญหาสังคม อาชญากรรม เต็มบ้านเต็มเมือง ฯลฯ ..."

ผู้มีอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการ ต่างรับไม้ "การศึกษาสำเร็จรูป" ต่อๆ กันไป นานนับสิบปี แบบไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหา ราวกับว่า พวกเขาได้ดื่มด่ำไปกับ รสชาติของลัทธิอำนาจนิยม แบบโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว. และเพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ทาส และอำนาจนิยมของพวกตน พวกเขาจึงสร้าง วาทะกรรม อันยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างยิ่ง คือ "เพื่อเอกภาพของการศึกษาชาติ" ซึ่งทำให้ไม่มีผู้ใด กล้าที่จะเข้าไปแตะต้อง เพื่อแก้ไขมัน.

เอกภาพบ้าบอ เหล่านี้ ได้สร้างความวิบัติให้แก่คุณภาพคนไทย ตลอดมา แต่คนไทยมักไม่รู้สึก เพราะต่างก็ตกอยู่ในหลุมกะลา แล้วเสริมใยเหล็กด้วยม่าน ประชาธิปไตย อีกชั้นหนึ่ง. รับประกันได้ว่า น้อยคนนัก ที่จะรู้เห็นความเป็นจริง ความน่าทุเรศของ "การศึกษาสำเร็จรูป." โดยเฉพาะ เมื่อการนำประเทศเข้าสู่ชุมชนอาเซียน ทำให้เรามองเห็นได้ชัดเจนขึ้นไปอีกว่า แท้จริงแล้ว คุณภาพการศึกษาของไทย อยู่ในลำดับเกือบสุดท้าย แพ้แม้กระทั่ง เวียดนาม ลาว.

แน่นอนว่า เยาวชนไทยส่วนหนึ่ง ที่มีขีดความสามารถ ย่อมเอาตัวรอด อาศัยรูปแบบสำเร็จเหล่านั้น สร้างตัวตน อัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาอย่างน่าภาคภูมิใจ แต่อัตลักษณ์เหล่านั้น ช่างแห้งแล้งขาดน้ำใจ ขาดเมตตาธรรม การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่. จึงไม่น่าแปลกใจว่า คนเรียนเก่ง มักเห็นแก่ตัว ดูถูกแม้กระทั่งชาติพันธุ์ของตนเอง มีวิสัยในมโนทัศน์ที่คับแคบ เห็นแก่ตัว เป็น "คนไร้ราก" และคนประเภทนี้นี่แหละ กลับถูกลัทธิอำนาจนิยม กล่าวยกย่องชมเชย.

ในม่านหมอก ประชาธิปไตยจอมปลอม ที่ปกคลุม ปิดกั้น ศักยภาพของคนไทยไว้ ย่อมมีทางออก ทางเลือกต่อการปฏิรูปการศึกษาไทย. ถ้าผู้มีอำนาจ ฉวยโอกาส "ปฏิวัติ" ยึดอำนาจนิยมแบบสำเร็จรูป กล้าที่จะเปลี่ยน แนวคิด นโยบายปฏิรูปการศึกษา อย่างมีทิศทาง เพื่อแข่งขันได้กับนานาอารยประเทศ สร้างความยั่งยืน ความผาสุกในระยะยาว. โปรดอย่าลืมว่า เด็กไทยไม่ได้โง่ เพียงแต่ถูกปิดกั้น ศักยภาพบางอย่างไว้ เพียงเพราะเห็นแก่วาทกรรมล้าหลังตกขอบ "เพื่อเอกภาพการศึกษาชาติ."

เราควรเปลี่ยน มโนทัศน์การศึกษาชาติเป็น "เอกภาพการศึกษา คือ ผลิตผลของ ความมั่นคงทางอารมณ์ ความซื่อสัตย์ เสียสละ การมีวินัย และการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อความสุขที่พอเพียง" มิใช่ เอกภาพบ้าๆ บอๆ ดังที่เป็นมาในอดีต.

(ก) บุคลากรทางการศึกษา หมายรวมถึง แม่พ่อ บุพการี พระในศาสนา ปราชญ์ชุมชน ผู้รู้ (กูรู) และ ครูในโรงเรียน. โรงเรียน เป็นแค่สถานประกอบกิจกรรม ไม่ใช่ศูนย์การเรียนรู้. ครูคือที่ปรึกษานักเรียน. ครูใหญ่ ไม่ใช่ผู้มีอำนาจสูงสุด เป็นแค่ผู้จัดการสถานศึกษา คอยอำนวยความสะดวกแก่ครูผู้สอน. สามารถเคลื่อนย้าย แลกเปลี่ยน ครูที่มีความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่ฝังจมเฉพาะในโรงเรียนที่ตนสังกัด.

(ข) ยกเลิกระบบชั้นปี ยกเลิกการวัดผล ได้ตก ในรอบปี แต่ให้ประเมินผลสำเร็จ เพื่อวัดความก้าวหน้าทุกระยะ 3 ปี เพราะความพร้อมในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน ไม่เท่ากัน หลักสูตรเดียวกัน เด็กบางคนใช้เวลาแค่ปีเดียว บางคนใช้เวลา 3 ปี. วิชาเรียน ต้องบูรณาการทั้งครู พ่อแม่ พระ ปราชญ์ชุมชน. เน้นประวัติศาสตร์ ศีลธรรม วินัยชาติเป็นหลัก (วิชาบังคับ) นอกนั้น เป็นวิชาเสรี. นอกเหนือจากวิชาบังคับ ไม่บังคับให้ผู้เรียน เรียนในวิชาที่ตนไม่ชอบ. วิชาที่นักเรียนคนหนึ่งไม่ชอบ แต่จะมีอีกคนที่ชอบ ให้ถือว่าเป็นการสมดุลกัน ที่จะช่วยกันนำพาและส่งเสริมความสามัคคี ในการพัฒนาสังคม ร่วมกัน (อย่าเก่งคนเดียว ให้แบ่งเฉลี่ยกันเก่ง แล้วจะเก่งเป็นทีม). ด้งนั้น หลักสูตรหนึ่ง อาจมีเด็กจบไม่พร้อมกัน ผู้จบก่อน มีโอกาสพัฒนาสังคมก่อน และเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้จบทีหลัง เป็นการเกื้อกูลกัน.

การวัดผลประเมินผล ให้กระทำในขั้นตอน output เป็นหลัก ส่วนในขั้น input และ process ปล่อยให้เป็นอิสระของครู และบุคลากรทางการศึกษา. เช่น วันปลูกต้นไม้ ไม่ใช่การประเมินผ่าน ถ้าต้นไม้ไม่ตาย และโตได้ขนาด จึงถือว่าประเมินผ่าน เป็นต้น. การประเมินผู้เรียน ใช้หลัก 3 คือ ผู้ประเมินได้แก่ สถานศึกษา ชุมชน และ พระในศาสนา. ผู้เรียนกระทำชอบ ให้มีผลต่อครูผู้สอด้วย โดยให้ได้รับความดีความชอบด้วย และในทางตรงกันข้าม ผู้เรียนกระทำผิด ก็ให้มีผลต่อครูที่จะไม่ได้รับความชอบ เช่นเดียวกัน.

(ค) ทุกๆ ที่ ทุกมิติ คือ ห้องเรียน. เปิดเสรี home school. ห้องเรียนทางเลือก. หลักสูตร เปิดให้ชุมชนทำหลักสูตรของตนเอง แต่ต้องมีวิชาบังคับ จากรัฐบาล (กระทรวงศึกษาธิการ) คือ ประวัติศาสตร์ วินัยชาติ (ศีลธรรม หน้าที่พลเมือง) และ ปัญญาประดิษฐ์. (ผู้เรียนที่ต้องการเข้าถึงปัญญาประดิษฐ์ เขาย่อมมีทางเลือกด้วยตัวของเขาเองว่า เขาจะต้องเรียนวิชา ภาษา คณิตศาสตรื ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ โดยปริยายอยู่แล้ว ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะโง่ ด้านภาษา และวิทยาศาสตร์)

เชื่อแน่ว่า เจ้าลัทธิอำนาจนิยม คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ คงต้องกดดันรัฐบาล หรือองค์กร ที่รับผิดชอบการศึกษา ให้จัดการศึกษาแบบเดิมๆ ต่อไป เพื่อสะกดคนไทย ให้โง่และยากจนต่อไป ภายใต้วาทะกรรม "เพื่อเอกภาพการศึกษาชาติ" ต่อไปชั่วนิรันดร์. ดังนั้น "ภายใต้การครอบงำของ ลัทธิอำนาจนิยม การปฏิรูปการศึกษาของไทย จึงไม่สามารถทำได้."

แนวคิดที่วางไว้กว้างๆ เมื่อปฏิบัติจริง คงต้องมีข้อกำหนด ในรายละเอียด บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ผู้ที่ไม่เห็นด้วย อาจรู้สึกไม่สบายใจ ต้องขออภัย.

23 ก.ค. 2562

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ: บทความ: นักการเมือง ยุคปฏิรูป ควรทำอะไร?

วันนี้ ผมขออนุญาตเปิดเพลง ให้ท่านทั้งหลายฟังสัก 2 เพลง

(1) เพลง บ้านของเรา

น้ำก็เป็นของปลา
ฟ้าก็เป็นของนก
บกก็เป็นของป่า
สภาเป็นบ้านของเรา
เด็กเด็กต้องช่วยกันเฝ้า
อย่าให้บ้านของเรา เป็นรังของโจร
อย่าให้บ้านของเรา เป็นรังของโจร

(2) เพลง ตายห่า ตายโหง

(สร้อย) ตายห่า ตายห่า ตายโหง ตายโหง ตายโหง ตายห่า
เด็กเด็กปลูกป่า จะไม่ตายห่า และไม่ตายโหง
พวกพ่อค้า ที่ชอบขี้โกง ถ้าไม่ตายโหง ก็ต้องตายห่า

(สร้อย) ตายห่า ตายห่า ตายโหง ตายโหง ตายโหง ตายห่า
ผู้ใหญ่ตัดป่า ถ้าไม่ตายห่า ก็ต้องตายโหง
นักการเมือง ขี้ฉ้อคดโกง ถ้าไม่ตายโหง ก็ต้องตายห่า

[ที่มา: เพลงของพวกเด็กๆ ชาวสันติอรุณ
ในนวนิยายเรื่อง "ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์"
Hope Full with Hearted โดย สู่ดิน ชาวหินฟ้า]

เพลงบ้านของเรา เป็นเพลงร้อง เพลงตายโหง ตายห่า เป็นเพลงกลอน. สองเพลงนี้ ส่งเป็นสัญญาณเตือนไปยัง นักการเมือง ในฐานะที่ผม และประชาชนคนไทย เป็นนายของพวกคุณ.

พวกคุณเอาอำนาจของประชาชน ไปยกให้ใครคนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นนายกฯ. มันไม่สำคัญเท่ากับว่า "ใคร" จะเป็นนายก แต่สำคัญอยู่ที่ ตัวนายก จะประสานประโยชน์ให้แก่พวกคุณ ได้ลงตัวหรือไม่เพียงใด โดยอ้างเอาประชาชนเป็นเงื่อนไข.

พวกคุณจะทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ดูไม่น่าเกลียด ไม่เกิดแรงต้าน ในการแบ่ง 'ก้อนเค้ก' ของพวกคุณ. เพราะพวกคุณ ไม่ได้ "อาสา" มาทำงานการเมือง ตามที่ได้หาเสียงไว้. แต่พวกคุณ "อาศัย" ช่องทางประชาธิปไตย ที่มีการเลือกตั้ง ในการ 'สืบทอด' ผลประโยชน์ของพวกคุณ.
ตราบใด ที่พวกคุณยังคิดว่า "ถ้าได้เป็นรัฐบาลแล้ว จะได้ไม่อดอยากปากแห้ง" ตราบนั้น พวกคุณก็ตั้งเป้า จะโกงอยู่ร่ำไป.

อาการอดอยากปากแห้ง ของพวกคุณ มันกำลังส่อเค้าวุ่นวาย ในการจัดตั้งรัฐบาล และการอภิปรายในสภา. ซึ่งดูเหมือน 'หมากัดกัน' ที่ประชาชนเห็นจนคุ้นตา ได้ยินจนคุ้นหู

สำเนียง ส่อ ภาษา
วาจา ส่อ สกุล
กิริยา ส่อ สถุล

ถ้าพวกคุณกล้าอาสา มาเป็นผู้แทนประชาชนจริงๆ ละก็ ... (1) พวกคุณกล้าไหม ที่จะไม่รับเงินเดือน โดยรับเฉพาะค่าเบี้ยงาน เท่าที่ได้ทำงานให้ประชาชน. (2)พวกคุณกล้าไหม ที่จะปฏิรูป ตำรวจ . ให้เป็นที่ไว้วางใจ และไม่เลือกปฏิบัติ. (3)พวกคุณกล้าไหม ที่จะปฏิรูป พลังงาน (ปตท.) เอาหุ้น ที่พวกกฎุมพีกอดไว้ 'คาย' ออกมา ขายได้ประชาชน อย่างทั่วถึง. (4)พวกคุณกล้าไหม ที่จะปฏิรูป ข้าว และคุณภาพชาวนา. (5)พวกคุณกล้าไหม ที่จะปฏิรูป ภาษีคนรวย และ ภาษีพระ.

เอาแค่ห้าเรื่องนี้ ก็เพียงพอแล้ว ที่จะเชื่อได้ว่า พวกคุณอาสา มาทำงานการเมืองจริงๆ. เพราะห้าเรื่องนี้มิใช่หรือ มันคือ "เค็ก" ก้อนใหญ่ ก็เพราะห้าเรื่องนี้นี่แหละ ที่ทำให้พวกคุณบางคน ไม่กล้าลาออก แม้จะหมดวาระหมดหน้าที่แล้ว ก็ตาม. เพราะห้าเรื่องนี้ใช่ไหม ที่ทำให้พวกคุณ ไม่กล้าอาสามาทำงาน เพื่อประชาชน.

ผมพูดดักหน้าไว้ก่อน ในวันนี้ เพื่อจะดูว่า วันพรุ่งนี้
พวกคุณจะแสดงพฤติกรรม "หางโผล่"
อย่างที่ผมพูดดักไว้หรือเปล่า.

ถ้ามันไม่จริง ผมก็ขอโทษ. ผมดูพวกคุณผิดไป.
ผมรับผิดชอบ จะไม่พูดด่าว่าพวกคุณอีก.

แต่ถ้ามันจริง พวกคุณจะทำอย่างไร?

14 มี.ค. 2562

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ: แบนสารพิษ ทำเพื่อใคร

โปรดฟัง ตรรกะ ของผมหน่อยจะได้ไหม?
#แบนสารพิษ ทำเพื่อใคร
(1) ทำเพื่อสวัสดิภาพ สุขภาพของประชาชนทุกคน หรือว่า
(2) ทำลายเศรษฐกิจ ทำลายผลประโยชน์ ทางการค้า หรือ
(3) ทำตามกระแสสังคม.

ตราบใดที่มันยังเป็นวัตถุอันตราย ฆ่าได้ทั้งฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายต้าน ตราบนั้น ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะเอามันไว้. อย่ามาอ้างว่า การแบนสารพิษ เป็นการทำลายเศรษฐกิจ ทำลายความหวังชีวิตของเกษตรกร. เพราะถึงอย่างไร เกษตรกร* ก็ยังจนอยู่ตราบนานเท่านาน.
อย่ามาอ้างว่า เพราะถูกกระแสสังคมต่อต้าน จึงต้องแบน, ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เกษตรกรยังใช้สารเหล่านั้น ไม่เห็นมีใคร หน่วยงานใดมาต่อต้านการใช้. เหตุผลก็เพราะว่า "เมื่อก่อน คนเรายังโง่อยู่" นะซิ. นี่ไม่ใช่กรณี ทำตามกระแสแต่อย่างใด แต่เพราะตอนนี้ คนเราฉลาดรู้เท่าทันขึ้น เพราะอาศัยกระแสสังคมนั่นต่างหาก.

แท้จริงแล้ว ต้นรากของปัญหา ไม่ได้อยู่ที่ สารพิษ หรือสารเคมีเกษตร แต่อยู่ที่ "ความคิด" ของคน (ทั้งเกษตรกร และผู้ค้า ผู้บริโภค) ที่มองเห็น 'หญ้า คือ ศัตรู'* โดยเฉพาะ ตัวเกษตรกรเอง.

[*] เกษตรกร ถูกทำให้จน ตลอดชั่วชีวิต เพราะใคร ตัวเขาเอง หรือว่า นักการเมือง หรือว่า อำนาจดลบันดาล. แท้จริง มันเป็นวงจร ของเหตุปัจจัย ทั้งสามประการ มากระทำพร้อมๆ กัน. ไม่ว่าตัวเกษตรกรเอง หรือว่ารัฐบาล หรือว่า องค์กรใดๆ ที่พิทักษ์เกษตรกร ก็แก้ไขไม่ตรงจุด เพราะต่างฝ่ายต่างทำ ต่างเวลากัน ทั้งๆ ที่เหตุปัจจัยของความจน มันมาพร้อมกัน.

[*] หญ้า ไม่ใช่ ศัตรู ของใครทั้งสิ้น แต่กลับเป็นคุณของแผ่นดิน. ผู้ที่เห็นหญ้าเป็นศัตรู ก็มุ่งที่จะกำจัดอยู่ตลอดเวลา. ทั้งๆ ที่ จะกำจัดอย่างไร ก็ทำได้ไม่หมด. เพราะหญ้า ก็คือพืชชนิดหนึ่ง ที่เกิดมาเพื่อเป็นตัวกระตุ้นให้ พืชชนิดอื่น สร้างภูมิและโครงสร้างที่แข็งแรง. พืชผักแข็งแรง ส่งผลให้สุขภาพของคน แข็งแรงไปด้วย. หญ้าเป็นศัตรู ที่ตรงไหน? คนเราต่างหาก ที่เลือกปลูกพืชพันธุ์อ่อนแอ.

พืชอ่อนแอ เอาไปแข่งขัน หรือส่งออก จะไปสู้กับพืชส่งออกของชาติเพื่อบ้านได้อย่างไร? ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูป วิถีเกษตรไทย กันอย่างจริงจัง หลังแบนสารพิษ. อันที่จริง "ศาสตร์พระราชา" ได้วางแนวทางไว้แล้ว ในการสร้าง "วิถีเกษตรไทย" แต่เพราะคนไทย บ้าลัทธิทุนนิยม บริโภคนิยม จนลืมศาสตร์พระราชา. บ้างถึงกับมโนไปถึงขั้นที่ว่า ศาสตร์พระราชา ก็เป็นแค่ทฤษฎี. อุแม่จ้าว!! คิดไปได้ถึงขั้นนั้น.

ปัญหาสำคัญ มันอยู่ที่ว่า ทำอย่างไร คนจะมองเห็นความสำคัญของหญ้า เป็นคุณ, แล้วหาวิธี "ควบคุม" ไม่ใช่ "กำจัด"

#ดอกหญ้าแห่งความพอเพียง

แม้เป็นเพียง ดอกหญ้า ด้อยค่านัก
ไม่สูงศักดิ์ เทียมเท่า เหล่าพฤกษา
ยอมให้คน เหยียบย่ำ หนำอุรา
ด้อยราคา น้อยคุณค่า น่าช้ำใจ

แม้เป็นแค่ กอหญ้า ก็อารีย์
มวลชีวี ล้วนมีค่า ได้อาศัย
ปกป้องแดด แผดเผา ราวเปลวไฟ
แผ่นดินให้ ชุ่มชื่น ผืนพนา

อย่าดูหมิ่น คนสิ้นทรัพย์ ไม่นับญาติ
ด่วนตัดขาด มิอาจ ปรารถนา
เป็นคนจน แต่ใจ สูงเสียดฟ้า
เป็นดอกหญ้า ฟ้าสิซึ้ง ตรึงหทัย

ก็ขอเป็น ต้นหญ้า รู้ค่าตน
แม้นได้เกิด เป็นคน พ้นเหลวไหล
คือ “ไม่พัก ไม่เพียร ไม่อาลัย”
ทำดีไป ให้โลกรู้ “อยู่พอเพียง”.

ดิน หิน ฟ้า (2006) - igoodmedia.net
มิถุนายน 2549.

สู่ดิน ชาวหินฟ้า (2019 )
24 ตุลาคม 2562.

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง


thinking focus new idea today
คำคม คำคิด แง่คิด ชีวิตดี
 


igood media copyright
 
SUDIN CHAOHINFA, igoodmedia.net : Administration and Producer
Copyright © 2010-2018 intelligence good media homeschool.
All rights reserved. me@igoodmedia.net