Article in 2020

 

 

HOME   |  Articles - Book - Poem - SongAUTHOR  |  FILM SCHOOL  |  COMMUNICATION ARTS  |  MY BLOG |

 

บทความ:
วิสัยทัศน์ นิสัยสัตว์สมองคน

โดย ปรุง สีงา

นี่ไม่ใช่ การชเลียร์ รัฐบาลลุงตู่. แต่ เชียร์ คนทำงาน และ แชร์ ผลงาน ที่เป็นหน้าเป็นตา ของประเทศ. พวกที่อยู่ สุขสบาย กินแรงภาษี ของคนอื่น แล้วเที่ยวได้ด่า คนทำงาน นั้น, ดูเป็นคน จิตใจ คับแคบ.

“ ... Overview- ราชกิจจาฯประกาศประเทศมีหนี้ 6.1 ล้านล้าน หนี้สาธารณะ 7 ล้านล้าน ตอกย้ำประยุทธ์ดีแต่ใช้เงิน

'ประยุทธ์' ทำเศรษฐกิจเจ๊งมากสุดในประวัติศาสตร์ เงินหมดประเทศ ส่อพังยาวหลายปี เป็นหนี้ยันชั่วลูกชั่วหลาน แถมปัดไม่รับผิดชอบ

ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นแท่น นายกรัฐมนตรีที่ทำเศรษฐกิจเจ๊งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังหอการค้าไทย ฟันธงเศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบ 8.8% พังมากสุดตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ พังมากกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งเศรษฐกิจติดลบ 7.6% ดัชนีความความเชื่อมั่นการบริโภคลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 31.3 (เศรษฐกิจเจ๊ง=คนไม่กล้าใช้เงิน/ไม่มีเงินใช้) พร้อมกระตุ้นรัฐบาลว่า ถ้ายังไม่เลิกบ้าอำนาจ ต่อพรก.ฉุกเฉิน เศรษฐกิจเจ๊งยาวแน่นอน !! ...”

(ส่วนหนึ่ง จากข่าว Thai E-News.
ที่มา : https://siamrath.co.th/n/161974
หอการค้าชี้เศรษฐกิจไทยติดลบ 8.8% ดัชนีความเชื่อมั่นดิ่งหนัก
https://www.thairath.co.th/news/business/1815918
เศรษฐกิจพังหลักล้านล้านบาท วิกฤติ "โควิด-19" ตกงานเพียบ
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/881524
ทีดีอาร์ไอ ชี้ เศรษฐกิจไทย พังไปอีก 3 ปี
https://news.thaipbs.or.th/content/293118)

ข้อมูลดังกล่าว พิเคราะห์ได้ว่า

คนทำงาน ย่อมมีผิดพลาดกันได้ ทุกคน. ไม่ว่าใครก็ตาม มาเป็น รัฐบาล ที่มีคนไทย นิสัย-วิสัย แบบไทยๆ ที่เราก็รู้กันอยู่, ย่อมไม่ได้อยู่ สุขสบาย บริหารได้ราบรื่น แน่นอน. อาการ "ลูบหน้า ปะจมูก" มีอยู่ตลอด ทุกยุคทุกสมัย.

จะมองใคร วิจารณ์ใคร ควรดู "ภาพรวม" อย่ามักง่าย เจาะช่อง เฉพาะจุด เฉพาะรู แล้วแหกปากพ่น ผายลมเหม็น ออกมา ประจานนิสัยสันดานพาล ของตัวเอง.

สิวฝ้า ย่อมมีกัน ทุกคน. ทุจริต โกง เหลื่อมล้ำ หนี้ผูกพัน คนจน เศรษฐกิจล่ม ฯลฯ ก็มีทุกรัฐบาล นั่นแหละ.

จะมีก็แต่ คนโง่ คนริษยา คนเสียประโยชน์ส่วนตัว คนเสียอำนาจ นั่นแหละ ที่คอยหาช่องโจมตี สาดเสีย โดยไม่มองมุมดีเอาเสียเลย.

โทรคมนาคม ระบบไฟฟ้า ทางสัญจร สาธารณสุขพื้นฐาน ฯลฯ ล้วนใช้เงินมหาศาล ก่อหนี้ผูกพัน เป็นธรรมดา เพื่อให้คนไทยทุกคน (รวมทั้ง คนด่า) ได้สมประโยชน์ ทุกถ้วนหน้า ... ไม่เห็นเอาไปพูดมั่งล่ะ!!

ไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตาม ถ้าหลงตัว ยึดติดอำนาจ ทุจริต โกง จนประชาชน ทนไม่ไหว, ต่อให้เป็น รัฐบาลเทวดา ก็เถอะ ทำไม่ดี บีฑาประชาชน จนทนไม่ไหว อดีต จะดี เด่น ดัง คนนิยมอย่างไร ก็ตาม,

ก็ถูกขับไล่ ได้เหมือนกัน.

พวกบ่างช่างยุ พวกไพร่สมองกลวง ยังมีอยู่เยอะ นักการเมืองเน่าๆ มักเลี้ยงไว้ คอยเสี้ยมเขา เอาไว้ใช้งาน.

มีคนพวกนี้เยอะๆ ประเทศไทย ก็ไม่ไปไหนสักที.

สักแต่ว่า ...
มีหูสองข้าง คั่นกลางด้วยหัว
สองตาฝ้ามัว ลำตัว-หัว กลวง
สมองตกปึก ทึนทึกทั้งยวง
ความคิดติดบ่วง ล่วงแค่ปลายตีน

ช่างไร้สาระ สัจจะไร้ศีล
เหตุผลตีกิน ดิ้นแหกแถกไป
ใดดีเข้าตัว ใดชั่วใส่ไคล้
ไม่เห็นแก่ใคร วิสัยคนทราม

คนอื่นทำดี ก็ยี้เหยียดหยาม
ตนทำไม่งาม มองข้ามผ่านไป
นิสัยริษยา วาจาสาไถย์
รัฐทำสิ่งใด ด่าได้ทั้งวัน

หลายสิ่งก้าวหน้า พัฒนาเขตขัณฑ์
แต่ยังดึงดัน เย้ยหยันนานา
เลือกพวกโคถึก สำนึกสมองหมา
อำนาจได้มา ตายห่าทั้งกรม.

ปรุง สีงา
12 ธันวาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
รู้เท่าทัน ลัทธิล่าอาณานิคมใหม่ ผ่านประเทศศิวิไลซ์ของโลก (Civilization Land of World).

โดย อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า

จักรวรรดินิยมอเมริกา ได้วางมาตรฐาน 'ประเทศพัฒนาแล้ว' ว่า ต้องทำ ต้องมี ให้เหมือน อเมริกา -


(1) มีระบอบการเมืองการปกครอง แบบอเมริกา, ประชาธิปไตย แบบเลือกตั้ง ("พวกมาก ลากไป")

(2) มีระบบเศรษฐกิจ/เศรษฐศาสตร์ แบบอเมริกา (ทุนนิยม - Capitalism)

(3) มีเสรีภาพทางการเงิน แบบอเมริกา ("มือใครยาว สาวได้สาวเอา" หรือ ทุนนิยมสามานย์ - Depraved Capitalism)

(4) มีวิถีชีวิตทางสังคม และวัฒนธรรม แบบอเมริกา, วัฒนธรรมของคนแปลกหน้า "ตัวใคร ตัวมัน" พึ่งพาอาศัยเงิน เป็นสำคัญ

(5) กระบวนทัศน์ (แนวคิด ความเชื่อ ทัศนะ) ของประชาชน แบบอเมริกา, ได้รับการปลุกเร้า ในการเสพ อย่างบ้าคลั่ง (บ้าบริโภค - mass consumption) และ การเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งกันและกัน (ได้เปรียบ คือ กำไร - เสียเปรียบ คือ ขาดทุน).

ประเทศไทย มีความพยายาม จะทำ จะให้มี เหมือนที่ อเมริกาทำ อเมริกามี แต่ทำไปได้ไม่สุด จึงถูกตีตราว่า "ประเทศกำลังพัฒนา"

หากเป็นเพราะ พระปัญญาธิคุณ ของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงรู้ เข้าใจ เข้าถึง ธาตุแท้ของ จักรวรรดินิยมอเมริกา, พระองค์ จึงได้พระราชทาน หลักการ แนวทาง เศรษฐกิจพอเพียง ให้คนไทย รู้จักเอาตัวรอด พึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องตกเป็น "เหยื่อ" ของระบบแบบอเมริกา และ ไม่เป็นลูกแกะ ให้หมาป่า (ทุนสามานย์) ขย้ำกิน อย่างอิสระ อำเภอใจ.

ในอดีต, สังคมไทย เคยเปี่ยมล้นด้วย รอยยิ้ม มิตรไมตรี ความรัก เมตตา เอื้ออาทร แม้ว่าในปัจจุบัน บรรยากาศเหล่านั้น จะหดหายไปบ้าง อันเนื่องจาก การยัดเยียดให้คนไทย เปลี่ยนแนวคิด ความเชื่อ และทัศนะ ที่เอียงโต่งไปในด้าน วัตถุนิยม อย่างบ้าคลั่ง ในรอบหลายทศวรรษ ที่ผ่านมา. แต่ด้วย พระบารมีและวิสัยทัศน์ อันกว้างไกล และรู้เท่าทันในระบบทุนนิยม-บริโภคนิยม แบบอเมริกา ของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9. พระองค์ ได้ทรงวางรากฐาน ให้คนไทย รู้จัก "ทวนกระแส" วัฒนธรรมแบบอเมริกา อย่างได้ผล จนเกิดปรากฏการณ์ คนสวมเสื้อเหลือง กล่าว "ทรงพระเจริญ" ตลอดเส้นทาง การรับเสด็จ ของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รัชกาลที่ 10 ซึ่งนี่คือ สัญลักษณ์ ในการแสดงออก 'เฉลิมฉลอง' ความจงรักภักดี ความกตัญญู ต่อบูรพมหากษัตริย์.

ส่งผลให้ เกิดการลดทอน ความรู้สึกทุกข์ และปัญหาต่างๆ ของประชาชน (ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ปัญหาสุขภาพอนามัย) อันเนื่องมาจาก การถูกทำลายทางวัฒนธรรมดั้งเดิม ลงไปได้บ้าง.

ในขณะที่ สังคมอเมริกัน เต็มไปด้วย 'ความเหลื่อมล้ำ' และ 'การกีดกัน' ทางด้าน (1) รายได้ของประชาชน (2) สวัสดิการสังคม ของประชาชน (3) การบริการสุขภาพพื้นฐาน และ (4) การเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ.

จักรวรรดินิยมอเมริกา รู้ดีว่า การโจมตีประเทศไทย ให้ถูกจุด คือ การทำลายฐานราก ที่เป็นศูนย์รวมใจของคนไทย นั่นคือ สถาบันพระมหากษัตริย์. สิ่งที่อเมริกาจะทำได้ คือ การอำพราง กลบเกลื่อน พฤติกรรมอันสามานย์ ผ่านตัวแทน (นอมินี) และ องค์กรอิสระ องค์กรเอกชน (NGO). ด้วยจุดประสงค์หลัก คือ การสร้าง การมี รัฐบาลตัวแทน ที่รักษาผลประโยชน์ของอเมริกา (รัฐบาลขี้ข้าอเมริกา) ตลอดจน การแบ่งแยกดินแดน ให้จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นดินแดน "ปิด" ผ่านความกลัว จากการก่อการร้าย ซึ่งไม่มีเหตุผลอื่นที่เชื่อได้ว่า การมีอธิปไตย เหนือดินแดนนอมินี (ลัทธิล่าอาณานิคมใหม่) นั้น อเมริกาย่อมสะดวก ในการอ้าง และรื้อฟื้น สิทธิสภาพนอกอาณาเขต มาเป็นของอเมริกา (อย่างน้อย เป็นการคานอำนาจจีน).

อย่ามองปัญหาประเทศไทย แค่องศาแคบๆ แต่จงมองออกไป ให้ทะลุลึก ถึงทุกมิติ แล้วคุณจะมองเห็น "เบาะแส" ว่าแท้จริงแล้ว อะไร หรือ ใคร คืออุปสรรค ในการพัฒนาประเทศ และ อะไร คือสัญลักษณ์ ที่บ่งบอกว่า ประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนา และ ไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาแล้ว (ตามก้นอเมริกา) แต่ ประเทศไทย คือ ประเทศเดียวในโลก ที่เป็นประเทศศิวิไลซ์ของโลก (Civilization Land of World).

ปัญญาชนไทย ต้องตื่นรู้ ในนิยามใหม่ของคำว่า "ไทย" และรู้เท่าทัน ประวัติศาสตร์ อันชั่วร้ายของ ศัตรูที่แฝงตัวมาเป็นมิตร เพื่อมาทำลายวิถีไทย. ไม่เช่นนั้น ปริญญา ที่รับไป ก็ไม่ต่างอะไร กับ สัญลักษณ์ความโง่ และความเป็นทาส มันน่าภาคภูมิใจนักหรือ?

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
18 พฤศจิกายน 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
การอ้างอิง หลักกาลามสูตร

โดย อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า

ช่วงนี้ เห็นมีคนนำเอาหลัก กาลามสูตร มาใช้กันมาก. รู้หรือไม่ อาจมีความเข้าใจผิด ในการนำหลัก กาลามสูตรมาใช้ ต้องระมัดระวัง อย่านำมาใช้มั่วๆ เหมือนที่ใช้กัน.

พระพุทธเจ้า หมายถึง ให้นำมาใช้ในกรณี ความจริงเฉพาะ "ปฏิจจสมุปบาท-อริยสัจสี่" เท่านั้น. ไม่ใช่ความจริง ความเชื่อทั่วไป (ทุกๆ เรื่อง ของโลก). หลักกาลามสูตร จะนำมาใช้มั่วๆ ไม่ได้. เพราะผิดวัตถุประสงค์ของพระศาสดา.

หมายความว่า ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัตถุ สสาร วิทยาการ การเรียนรู้ เรื่องโลก วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ฯลฯ ... ต้องมีครู มีทฤษฎีรับรอง.

คิดดูเถิด ถ้ามีคนไม่เชื่อ ไม่ยอมรับ สูตร E = m c^2 คงต้องไปพิสูจน์ใหม่ ทุกครั้ง อย่างนั้นหรือ? เมื่อกาลเวลาผ่านไป. หรือเมื่อคนรุ่นหลังๆ มาเห็นสูตรนี้เข้า (ทั้งๆ ที่องค์การวิทยาศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์เขายอมรับโดยดุษฎี มานานแล้ว.) แต่ถ้ามีการยกเอาเรื่อง "ปฏิจจสมุปบาท-อริยสัจสี่" มาพูดกัน อันนี้ต่างหากเล่า ที่ต้องนำหลัก กาลามสูตร มาใช้.

ความจริง หลักกาลามสูตร ใช้กับชนเผ่ากาลามะ ซึ่งอยู่นอกเขตพุทธ ไม่เข้าใจพุทธ จึงต้องนำหลักสิบข้อ มาใช้เป็นเกณฑ์. แต่น่าพิศวงว่า คนไทยแท้ๆ ที่เป็นชาวพุทธ ไม่น่าจะนำหลักนี้มาใช้.

นั่นแสดงว่า ชาวพุทธปัจจุบัน ได้ห่างเหิน แก่นแท้ ของคำสอนพระศาสดา ไปมาก จนใกล้เคียงกับ ชาวกาลามะ ในอดีต.

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
12 กันยายน 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
ร้อยกรองอย่างไร ให้ได้คะแนนเต็ม.

โดย อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า

บทร้อยกรอง ประเภทกลอนสุภาพ (กลอนแปด) บทนี้ ให้คะแนน 99.90 (เศษที่เหลือ รอเทียบเคียงกับบทอื่นๆ ที่จะนำมา ประชันขันแข่ง).

ถึงหน้าฝน ทนร้าว เหน็บหนาวจิต
คนึงพิศ ภาพนาง ไม่ห่างหาย
หากฝนนี้ มีเธอ เสนอกาย
ความเดียวดาย ดับสูญ สุขพูนทรวง

ถึงหน้าหนาว คราวนี้ หากมีรัก
จักฟูมฟัก รักษ์ไว้ ใคร่แหนหวง
แนบอกนุ่ม กุมเนื้อ เหนือเนินทรวง
ให้หวงห่วง ดวงจินต์ ถวิลนาง.

เหตุผล ที่ให้คะแนน 99.90 เพราะ เข้าเกณฑ์ อรรถรส และ สัมผัสนิยม (สัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะ) ทั้งในวรรค และระหว่างวรรค (สัมผัสนอก สัมผัสใน ในวรรคสดับ รับ รอง ส่ง). วรรณยุกต์ในคำกลอน วางไว้สูง กลาง ต่ำ เป็นแนวคลื่น สวยงาม เหมาะสม. และประการสำคัญ -

(1) ใช้อักขระ และ พยางค์ รวมเป็นถ้อยคำ จำกัดไว้ไม่เกินโควต้า คือ วรรคละ 8 คำ/พยางค์ (แบ่งเป็นสามช่วง สาม - สอง - สาม) ถ้าต่ำกว่านี้ (7 คำ/พยางค์) หรือ เกินกว่านี้ (9 คำ/พยางค์) แม้จะพออนุโลมได้ แต่เมื่อมองในแง่มุม ความยากง่ายในการประพันธ์, ถ้าใช้จำนวนอักขระ และ พยางค์ ครบแปดพอดิบพอดี และคงความหมายที่หนักแน่น จะทำได้ยากกว่า.

(2) ความหมายที่สื่อออกมา มีทิศทาง ของเนื้อหา เรื่องราว ตรงตามหลักเกณฑ์ องก์1 องก์2 องก์3, ไม่สะเปะสะปะ.

การสื่อเนื้อหา ให้ได้ตามเกณฑ์ องก์1 องก์2 องก์3 จะมองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อเขียนให้ครบ อย่างน้อย 4 บท. จึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า เพราะเหตุใด การประชันแข่งขัน การเขียนกลอนแปด จึงนิยมกำหนด ให้เขียน 4 บท.

ผู้ที่ให้คะแนนตัวเองได้ อย่างมั่นใจเช่นนี้, จัดว่าเป็นคน 2 ประเภท คือ ไม่เป็นคนบ้า หลงตัว ก็เป็นบุคคลอัจฉริยะปัญญา. ... เชิญชม ทัศนา บทร้อยกรอง อันแสนไพเราะนี้ ได้ครับ เชิญ.

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
7 กันยายน 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
มองเสาหลักของบ้านเมือง ผ่านระบบการศึกษาสำเร็จรูป.

โดย ปรุง สีงา

ขอเป็นกำลังใจ ให้แก่ "เสาหลักของบ้านเมือง" ที่ช่วยกัน พยุง ประคับประคอง ให้สถาบันหลัก ของชาติ สามารถฝ่าวิกฤต และดำรงอยู่ต่อไป.

บ้านที่ไร้เสาเอก ก็ไร้ผีเรือน (เทวดา). บ้านที่ไร้ผีเรือน ก็เหมือนบ้านผีสิง (อสูรนรก). สถาบันหลักของบ้านเมือง ก็เหมือน ผีเรือน คอยคุ้มครองขวัญ กำลังใจ ของทุกคนในชาติ.

-สถาบันชาติ (รัฐสภา รัฐบาล ศาลยุติธรรม)
-สถาบันศาสนา (คำสอนของพระศาสดา ของศาสนาทุกศาสนาในประเทศนั้นๆ
-สถาบันพระมหากษัตริย์ (ศูนย์รวมใจ ให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ)
-สถาบันวัฒนธรรม (ภาษา ศิลปะวัฒนธรรม ขนบประเพณี และ กฏหมาย)
-สถาบันเศรษฐกิจ (ความพอเพียง ในการผลิต-บริโภค-จำหน่าย)
-สถาบันครอบครัว (กตัญญู กตเวที เคารพ ให้เกียรติ เชื่อฟัง ตามฐานะ พ่อ แม่ ลูก มิตรสหาย)

ผู้ทำหน้าที่รักษา เสาหลักของบ้านเมือง ทั้ง 6 คือ ทหาร ข้าราชการ ตำรวจ ครู พระสงฆ์ และ ประชาชน พึงสำเหนียกไว้อย่างยิ่งว่า บัดนี้ ฐานรากที่เล็กที่สุดของชาติ คือ สถาบันครอบครัว กำลังถูกบ่อนทำลาย มาอย่างยาวนาน นับทศวรรษ จากอิทธิพลของคนนอกอาณาเขต และ ลัทธิล่าอาณานิคม ของจักรวรรดินิยมสามานย์ (depraved colonialism)

รอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา ระบบการศึกษา ของประเทศไทย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง. การจัดการศึกษา การวัดผล อยู่ภายใต้นโยบาย "สำเร็จรูป" (by bloc) ด้วยเหตุผลว่า เพื่อ "เอกภาพของการศึกษา"

เอกภาพการศึกษา บ้าอะไร (วะ) ทำให้สถาบันครอบครัว บิดเบี้ยว และถูกกัดเซาะ เด็ก ไร้ภูมิตานทานทางปัญญา ไร้เหตุผล และ ทำลายสถานะทางสังคม.

นโยบายสำเร็จรูป (by bloc)

-หลักสูตรสำเร็จรูป
-ข้อสอบวัดผลสำเร็จรูป
-เกณฑ์ประเมินผลสำเร็จรูป
-วิธีการสอนสำเร็จรูป
-ผู้บริหารสำเร็จรูป
-โรงเรียนสำเร็จรูป
-นักเรียนสำเร็จรูป

แต่ อุปสรรคปัญหา การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การโจมตีของศัตรู มันไม่มีสำเร็จรูป.

ตกลง เอกภาพภายใต้นโยบาย สำเร็จรูป
ส่งเสริมหรือทำลาย สถาบันหลักของชาติกันแน่?

ปรุง สีงา
28 สิงหาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
รู้ทันกมลสันดาน จักรวรรดินิยมอเมริกา เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติไทย.

โดย ปรุง สีงา

ขอสรุปสั้นๆ แบบไม่ต้องร่ายมนตราใดๆ
 
สหรัฐพยายามโค่นล้ม รัฐบาลไทย ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำ ที่ไม่เอาด้วย กับการต่อต้านจีน และ ไม่สนับสนุนการจัดตั้งฐานทัพ หรือฐานยิงจรวดของ สหรัฐ ในประเทศไทย เหมือนยุคก่อนๆ (ครั้งมหาสงครามเวียดนาม).

การเคลื่อนไหวของนักศึกษา และ พรรคการเมืองบางพรรค ที่สร้างความปั่นป่วน แตกแยกของคนในชาติ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการ การล่าอาณานิคมแบบใหม่ ของจักรวรรดินิยมสามานย์.

สิ่งที่อเมริกา ต้องการก็คือ เปลี่ยนรัฐบาล, เอาพลเอกประยุทธ์ ออกไป เพื่อเอาใครก็ได้ มาเป็นรัฐบาล ที่ตัวเองสั่งการได้ ขึ้นมาแทน.

นี่คือ ลำดับขั้นของมาตรการ ของอเมริกา ที่ต้องบอกเล่าให้คนไทย และลูกหลานฟัง ให้ร่วมกันรับผิดชอบ และ ชะตากรรมของประเทศ หากมันเกิดขึ้นจริงๆ.

(1)
ยุยงให้เกิดความแตกแยก ในระดับลึก ชั้นอุดมการณ์ ในประเทศเป้าหมาย (เชื้อชาติ ศาสนา การเมือง สถาบันพระมหากษัตริย์) เช่น ประเทศไทย.

อเมริกา ประเมินแล้วว่า คนไทยยังยึดมั่น ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คงไม่ไปปะทะตรงๆ แต่ใช้วิธี "ตีวัวกระทบคราด" โดยสนับสนุนให้คนไทยทรยศบางกลุ่ม บางคน โจมตี สถาบันกษัตริย์ เพื่อให้คนอีกฝั่ง ที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เกิดความเกลียดชัง และตอบโต้ กลายเป็นความแตกแยก ของคนในประเทศ. วิธีนี้ เห็นผลได้ง่ายที่สุด (ข้อนี้พวกเขารู้ดี) เพื่อประสงค์ให้เกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่อเมริกาต้องการ.

(2)
ทำลายสถานะทางเศรษฐกิจ ของประเทศนั้นๆ ผ่านสื่อสารมวลชน และตัวแทน เช่น ngo องค์กรอิสระ องค์กรสิทธิมนุษยชน ด้วยการก้าวก่าย (เสือก) ทั้งด้วยวิธี sanction หรือ butt it ตรงๆ, ตัดสิทธิ GSP (สิทธิทางภาษี ที่ประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ ให้กับประเทศที่ กำลังพัฒนา), กีดกันความได้เปรียบทางการค้า ด้วย กฏระเบียบทางการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น.

(3)
สนับสนุนฝ่ายตรงข้ามกับ รัฐบาลของประเทศเป้าหมาย ทั้งอาวุธ การเงิน การข่าว.

(4)
สนับสนุน การประท้วง การจลาจล ความรุนแรง จนถึงสงครามกลางเมือง ในประเทศเป้าหมาย เพื่อล้มล้างรัฐบาล ให้จงได้.

(5)
ส่งกำลังทหาร เข้าประเทศเป้าหมาย ซึ่งเป็นวิธีสุดท้าย ในชัยชนะ.

เมื่อตรวจสอบให้ถี่ถ้วน เทียบเคียงทั้งพฤตินัย และพฤติกรรม ตลอด timeline ของอเมริกา ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมา และกระทำต่อประเทศเล็กประเทศน้อย. ก็จะมองเห็น ความจริง ทั้งที่ซ่อนอยู่ และเชิงประจักษ์ ได้ไม่ยาก. กลายเป็น "สูตรสำเร็จ" ที่อเมริกา ไม่อาจแก้ตัวได้.

ไม่มีสิ่งใด นอกจาก เป็นห่วงชาติ บ้านเมือง ให้อยู่ยั้งยืนยง เพื่อลูกหลานไทย ต่อไป หลังที่เราหมดลมหายใจไปแล้ว.

"สนิมเหล็ก เกิดแต่เนื้อในเหล็ก" ฉันใด, สถาบันหลักของชาติ จะล่มสลาย ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ, ทหาร คือรั้วของชาติ และเป็นรั้วของสถาบันหลัก ต้องจัดการ ทำอะไรสักอย่าง ทั้งศึกภายใน (คนไทยที่คิดทรยศ) ทั้งศึกภายนอก (ลัทธิล่าอาณานิยมแบบใหม่.

จริงใจ ไมตรี ไม่มีเกลียดชัง.

ปรุง สีงา
17 สิงหาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
บทความ - มโนทัศน์สัมพัทธภาพ (conceptual relativity) : ทฤษฎีการเข้าให้ถึง ความจริง.

โดย อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า

ก. นิยาม

องค์ประกอบของ มโนทัศน์สัมพัทธภาพ ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ประการ คือ

องค์ประกอบที่ 1 เวลา (time). เวลา ประกอบด้วย กาล (อดีต ปัจจุบัน อนาคต) ห้วงเวลา (เริ่มต้น – สิ้นสุด) จำนวนเวลา (นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี ...) หมุดของเวลา (นาฬิกา) มิติเวลา เช่น ปีแสง และ สัดส่วนเวลา ได้แก่ สัดส่วน เวลา–ระยะทาง (เช่น 10 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง) สัดส่วน เวลา–ปริมาตร (เช่น 10 ลูกบาศก์เมตร ต่อชั่วโมง) สัดส่วน เวลา–น้ำหนัก (เช่น 10 กิโลกรัม ต่อชั่วโมง). เนื่องจากเวลาเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ เคลื่อนไหลไปตามศรของเวลา ทำให้วัตถุมีรูปทรง (มิติที่ 1 2 3) และปริมาตรเพิ่มขึ้นเป็น มิติที่ 4 ให้แก่ตัวของมันเอง (ตำแหน่ง–พื้นที่ คือสิ่งเดียวกัน).

องค์ประกอบที่ 2 วัตถุ–บุคคล (object-person) ได้แก่ ผู้กระทำให้เกิด เหตุการณ์. สมบัติของวัตถุ-บุคคล ประกอบด้วย ชนิดของธาตุ มวล ขนาด ปริมาตร พลังงาน มิติรูปทรง-สัดส่วน ซึ่งมีความละเอียด หลากหลายกว่า ปัจจัยหลักข้ออื่นๆ (โปรดดู ลักษณะ–สมบัติของธัมมะธาตุ ข้อ 1- 6). สมบัติการเป็นธาตุ ยังแบ่งออกได้อีก 3 ประเภท คือ วัตถุธาตุ ชีวะธาตุ และจิตธาตุ. วัตถุธาตุ ได้แก่ วัตถุ สิ่งของ เครื่องใช้ อุปกรณ์ ที่จับต้องได้, ชีวะธาตุ ได้แก่ สัตว์โลก มนุษย์โลก ตลอดจน แบคทีเรีย จุลินทรีย์, จิตธาตุ ได้แก่ จิต วิญญาณ เทวดา พรหม และสัตว์อื่นๆ ในอบายภูมิ.

องค์ประกอบที่ 3 พื้นที่ พิกัดตำแหน่ง (locality | place) ของ วัตถุ บุคคล และ ของผู้สังเกต และผู้ถูกสังเกต. พิกัดที่นำมาใช้ระบุตำแหน่ง มี 3 แกน (3 มิติ X Y Z). เนื่องจาก วัตถุ บุคคล ที่ถูกกำหนดให้เป็น ผู้สังเกต และผู้ถูกสังเกตนั้น โดยธรรมชาติ มักมีสถานะรูปทรง 3 มิติ. ตำแหน่งพิกัด ที่อาจสร้างปัญหาอุปสรรค ให้แก่ผู้สร้างมโนทัศน์ คือ ตำแหน่งพิกัด ในกรอบพื้นที่ขนาดเล็ก ระดับอะตอม และ ตำแหน่งพิกัด ในกรอบพื้นที่ขนาดใหญ่ ระดับสุริยะ ดาราจักร, ซึ่งจำเป็นต้องใช้จินตภาพ และตรรกะที่สมเหตุสมผล ควบคู่กันไปด้วย ไม่เช่นนั้น จะหาข้อยุติได้ยาก.

เหตุการณ์ (event) เหตุการณ์ที่จะทำให้ เวลา และ ผู้สังเกต ผู้ถูกสังเกต มีความสัมพันธ์กัน หรือความพัวพันกัน. เหตุการณ์ความสัมพันธ์ (related event) จะมีข้อจำกัด ในด้านเวลาและตำแหน่งพิกัด. เหตุการณ์ความพัวพัน (entangled event) ไม่มีข้อจำกัด ในด้านเวลาและตำแหน่งพิกัด ซึ่งอาจทำให้วัตถุ บุคคล เกิดการย้อนเวลา หรือ ข้ามเวลาได้.

ผู้สังเกต และ ผู้ถูกสังเกต (observer and been observed). ผู้สังเกตและผู้ถูกสังเกต รวมกันแล้ว อาจมีได้หลายคน. ผู้ถูกสังเกต อาจเป็นบุคคล สัตว์ หรือสิ่งของก็ได้. บางสถานการณ์ อาจมีการสลับสถานะระหว่าง ผู้สังเกต ผู้ถูกสังเกต ก็ได้.

มโนทัศน์สัมพัทธภาพ เกิดขึ้นได้อย่างไร?

เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น จากการพัวพันกันของ เวลา ตำแหน่งพิกัด และวัตถุ จะถูกสังเกตโดยบุคคล 2 บุคคลขึ้นไป. บุคคลที่หนึ่ง เป็นผู้ที่อยู่ในเวลา และหรืออยู่ในตำแหน่ง ของเหตุการณ์นั้นๆ เรียกว่า ‘ผู้ถูกสังเกต’ บุคคลที่สอง เป็นผู้ที่อยู่นอกเวลา และหรืออยู่นอกตำแหน่ง ของเหตุการณ์นั้นๆ เรียกว่า ‘ผู้สังเกต’.

การรับรู้เหตุการณ์ของบุคคลทั้งสอง จะได้ผลต่างกัน, โดยที่บุคคลที่หนึ่ง จะได้รับข้อมูลที่มีขอบเขตจำกัด เช่น อาจอยู่ในรัศมี และองศาการมองเห็นที่แคบกว่า. ซึ่งต่างจากบุคคลที่สอง จะได้รับข้อมูลที่มีขอบเขตกว้างกว่า เพราะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้ 360 องศา
มีคำกล่าวที่น่าคิด ประโยคหนึ่งว่า “คุณจะได้คำตอบแบบใด ขึ้นอยู่กับว่า คุณถามใคร.”

ข. เข็มทิศ ของมโนทัศน์ 2 แบบ ก่อเกิดผลสรุป 2 แนวทาง.

เข็มทิศ ของ มโนทัศน์สัมพัทธภาพ จะชี้ไปใน 2 ทิศทาง คือ (1) จากฝั่ง 'นัตถิตา' ไปยังฝั่ง 'อัตถิตา' และ (2) จากฝั่ง 'อัตถิตา' ไปยังฝั่ง 'นัตถิตา.'

ค. อุปมา เข็มทิศ

#ตัวอย่างที่ 1 กรณี การค้นหา ความสุข -

(1) จากฝั่ง 'นัตถิตา' ไปยังฝั่ง 'อัตถิตา'

ในมุมของ "ผู้ถูกสังเกต" : ความสุข เป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมา ถ้ามันไม่มีอยู่จริง, ถ้ามันมีอยู่จริงแล้ว แต่มองไม่เห็น ต้องค้นหา ให้พบ. เมื่อความสุขปรากฏ ความทุกข์ ก็หายไป.

แต่ ในมุมของ "ผู้สังเกต" : ความทุกข์ ถูกบดบังด้วย ความสุข เพียงชั่วคราว จึงเป็น ความสุขชั่วคราว.

(2) จากฝั่ง 'อัตถิตา' ไปยังฝั่ง 'นัตถิตา'

ในมุมของ "ผู้ถูกสังเกต" : ความทุกข์ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นธรรมดาในธรรมชาติ, เป็นสิ่งที่ เราต้องเรียนรู้ ดูอาการของมัน ทนอยู่กับมันให้ได้ โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก. ถ้าทำให้ทุกข์ ลดลง ในปริมาณเท่าใด ก็จะเกิด "ช่องว่าง" ขึ้น, และเรียกช่องว่างนั้นว่า "ความสุข."

ในมุมของ "ผู้สังเกต" : ความสุขไม่ได้มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริง คือ ความทุกข์.

ตัวอย่างที่ 2 กรณี การชุมนุมของ เยาวชนปลดแอก
ตัวอย่างที่ 3 กรณี การต่อต้านอิสลาม ของ อัยย์ เพชรทอง

หมายเหตุ -
["ผู้สังเกต" คือ ผู้ที่อยู่ห่างออกมา นอกขอบเขต
ของเหตุการณ์. "ผู้ถูกสังเกต" คือ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์]

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
12 สิงหาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
ยุทธศาสตร์ เยาวชนปลดแอก, จะปลด หรือ จะปราบ.

โดย อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า

วิเคราะห์ ข้อเรียกร้อง ของกลุ่มเยาวชน ที่อ้างชื่อ ปลดแอก.

ข้อเรียกร้อง - รัฐบาลเผด็จการ หยุดคุกคาม พวกเขา

(1) เป็นยุทธวิธี ปกป้องตัวเอง จากการถูกปราบปราม ของฝ่ายรัฐบาล ที่พวกเขาเข้าใจว่า เป็นเผด็จการ. เมื่อเกิดความกลัวจะถูกปราบปรามจากเผด็จการ จึงต้องตั้งข้อเรียกร้องนี้ เป็นข้อแรก.

(2) คำว่า "เผด็จการ" เป็นความเชื่อ ที่ถูกปลูกฝัง มาตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่ม โดยบุคคลอื่น, ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง, และผู้อยู่เบื้องหลัง ประเมินแล้วว่า ไฟเผด็จการ นั้น "จุดติด" แล้ว ในกลุ่มเยาวชน จึงให้พวกเขา ยืนยัน ข้อเรียกร้องนี้ไว้ เพื่อลดความกลัวที่จะถูกปราบปราม.

(3) คำว่า "ปลดแอก" ไม่ใช่คำหรือสำนวน สำหรับคนยุคใหม่ (Gen X, Gen Z) แต่เป็นคำที่คิดขึ้นโดย ผู้อยู่เบื้องหลัง เพื่อหวังจะ เชื่อมโยง นักต่อสู้เผด็จการรุ่นเก่า กับ เยาวชนหัวดื้อรุ่นใหม่. แอก ถูกใช้เป็น วาทะกรรม ผูกไว้กับ รัฐธรรมนูญ, โดยโยงเอาอนาคตของประเทศ ให้อยู่ในมือของ คนรุ่นใหม่ แทนที่จะเป็น ทหาร.

ข้อเรียกร้อง - แก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดยพฤติการและนิสัย ของเยาวชนรุ่นใหม่ ที่ถูกระบบการศึกษา กีดกันออกจากการเมือง มาอย่างยาวนาน. ทำให้เกิด ช่องว่าง ระหว่าง การเมือง กับ เยาวชน. ส่งผลให้ ความสนใจด้านการเมือง ของพวกเขา ลดพลังลง และ ถูกปลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยบุคคล ที่มีความเกลียดชัง สถาบันทหาร. (เบื้องหลัง ความเกลียดชัง เป็นมรดก ตกทอด มาจากการทลายรังของคน ในระบอบทักษิณ-ทุนนิยมสามานย์ โดยนายทหาร)

อุปนิสัย ชอบแสวงสิ่งแปลกใหม่ และไม่ชอบการเมือง ของเยาวชน, เป็นทั้งสาเหตุ และโอกาส ของผู้ที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับฝ่ายทหาร ที่จะใส่ "ข้อมูลทั้งจริงและเท็จ" เข้าไปในมโนสำนึก ของเยาวชนเหล่านั้น. ไม่มีเหตุผลใด ที่จะทำให้พวกเยาวชนเหล่านั้น คิด-เกลียดชังทหาร เกลียดชังกษัตริย์ ได้ด้วยตนเอง.

ผู้อยู่เบื้องหลัง มีความจำเป็น ที่จะต้องเลือกข้อมูล ทั้งจริงและเท็จผสมกันไป เพราะ ถ้าใส่ข้อมูลเท็จเพียงด้านเดียว จะเกิดผลเสีย กระทบไปยังผู้อยู่เบื้องหลัง ในระยะยาว (ถ้าพวกเยาวชน รู้ความจริงว่า ถูกหลอก). เมื่อนำข้อมูลจริงเท็จ ผสมปนเปกันไป จะทำให้เยาวชน ไม่สามารถแยกแยะออกว่า อะไรจริง อะไรเท็จ. เพราะจริงก็ใช่ เท็จก็มี แต่อารมณ์ ความเกลียดชัง ได้ถูกจุดติดแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งพวกเขาได้. ซ้ำจะเป็นการตอกย้ำว่า ความเท็จที่พวกเขาได้รับนั้น คือความจริง ในมโนทัศน์ ไปเสียแล้ว จึงยากที่จะเปลี่ยนแปลง ในระยะเวลาอันสั้น.

ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงดูไม่สมเหตุสมผล สำหรับข้อเรียกร้องของพวกเขา. แท้จริงแล้ว เยาวชน มีปัญหาใกล้ตัว เฉพาะหน้า และสำคัญกว่า ที่ต้องรีบเรียนรู้และพัฒนาตนเอง เป็นการด่วน มากกว่าจะไปคิดถึงเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องไกลตัว.

แต่ กลุ่มบุคคลที่สูญเสียผลประโยชน์ (ทั้งในอดีต และปัจจุบัน) จากการบริหารประเทศโดย ฝ่ายทหาร จึงโหนกระแส และฉวยโอกาส ปมประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาเป็นกลยุทธ์ร่วม โดยตั้งใจ.

แต่พฤติภาพของเยาวชน กลุ่มปลดแอก และกลุ่มอื่นๆ ที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน โน้มไปในทางหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฏหมายสูงสุด. จึงกลายเป็นมุมลบ ของพวกเยาวชนปลดแอก ในข้อที่ว่า

(1) ในขณะที่ห้ามคนอื่น คุกคาม ตนเอง แต่ตนเอง กลับไป คุกคาม กฏหมาย และคุกคามกษัตริย์.

(2) ประชาธิปไตย ไม่ใช่ เสรีภาพ ที่จะทำอะไรก็ได้ เช่น ด่า ใส่ร้าย พูดหยาบคาย ทำลายวัฒนธรรม ความเป็นไทย ละเมิดกฏหมาย โดยไม่มีความเกรงใจ หรือ เกรงกลัวใดๆ (ที่จริงกลัว แต่ทำใจกล้าเข้าไว้ "ปากกล้า ขาสั่น").

(3) ประพฤติตนเป็นผู้ก้าวร้าว ต่อ สถาบันสำคัญของชาติ คือ

-สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์, ประพฤติตนดูหมิ่น เหยียดหยาม ทหาร และ พระมหากษัตริย์ (แต่ยังไม่ปรากฏ การดูหมิ่นศาสนา) อันเปรียบเหมือน โครงสร้าง เสาหลัก ที่ประกอบกันเป็นชาติไทย มาแต่ในอดีต.

-สถาบันครอบครัว, มีมโนทัศน์ ปฏิเสธ ความสัมพันธ์ครอบครัว ซึ่งประกอบด้วยคนสามรุ่น เป็นอย่างน้อย คือ ปู่-ย่า-ตา-ยาย พ่อ-แม่ และ ตัวเยาวชนเอง (แต่ข้อนี้ ยังไม่ผิดกฏหมาย เป็นแค่ มโนทัศน์ แต่ถ้าปล่อยไว้เนิ่นนาน ย่อมหลอมรวม เป็นพฤติกรรม ในอนาคต)

-สถาบันวัฒนธรรม, การยอมรับความเห็นต่าง การให้เกียรติผู้อื่น การเคารพผู้ใหญ่ ความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ จิตสำนึกสาธารณะ, วัฒนธรรมเหล่านี้ กำลังถูกทำลายลงโดยกลุ่มเยาวชน และกลุ่มคนไทยที่มี มโนทัศน์แบบเดียวกัน.

ยุทธศาสตร์ ทั้งเชิงรุก และ เชิงรับ อย่างเหมาะสม คือทางออก.

เชิงรุก คือ พุ่งเป้าไปที่ 'แกนนำ' และ 'ผู้อยู่เบื้องหลัง.' จะด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม (ทั้งทางกฏหมาย และ ไม่ใช่ทางกฏหมาย).

(1) ให้อำนาจแก่องค์กรเฉพาะกิจ ซึ่งสามารถทำงานเชิงรุก รวดเร็ว ทั้งด้านสื่อสาร การข่าว ด้านกฏหมาย การแทรกซิม และ การจู่โจม. หากปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนาน จะสร้างและสะสมปัญหา ที่ยุ่งยากขึ้นในระยะยาว.

(2) ระดมพลังการสื่อสาร มาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งขอความร่วมมือ ขอร้อง คำสั่ง และบังคับด้วยกฎหมาย เพื่อให้เกิด การสร้างวาระโน้มน้าว (propaganda - agenda) และ รณรงค์ (campagn). โดยไม่สนใจข้อกล่าวหาว่า รัฐใช้อำนาจผ่านสื่อ.

เพราะอันที่จริงแล้ว ภาพลักษณ์ "เผด็จการ" ของ รัฐบาล ไม่อาจลบไปจากมโนทัศน์ ของกลุ่มเยาวชนปลดแอก และผู้อยู่เบื้องหลัง อยู่แล้ว. เพียงแต่ เปลี่ยนนามธรรม "เผด็จการ" ไปในทิศทางบวก เช่นเดียวกับ สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีของจีน ที่เขาทำเพื่อประเทศของเขา ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาว. (ผู้นำรัฐบาลปัจจุบัน จะต้องสะสาง ปัญหาความแยกแยกภายใน ให้ได้ และสร้างเสถียรภาพทางอำนาจ ให้ 'สมดุล' มากที่สุด - ในภาวะรัฐบาลผสม)

เชิงรับ สำหรับกลุ่มเยาวชน คือ

(1) การรับฟังข้อมูล จากกลุ่มเยาวชน อย่างเป็นทางการและต่อเนื่อง.

(2) การใช้อิทธิพลของพ่อแม่ ผู้ปกครอง มาควบคุม โน้มน้าว พฤติกรรมของบุตรหลาน เพื่อลดกระแส ความเกลียดชัง.

(3) การพูดจาสื่กอสาร การปิดช่องทางสื่อเท็จ-ดูหมิ่น-ให้ร้าย.

(4) ในกรณีทำผิดกฎหมาย และมีการจับกุม ให้ทำโดยนุ่มนวล ผ่อนปรน.

สรุป ... รู้เท่าทัน เข้าถึง เยาวชนคนรุ่นใหม่ ต้องใช้พลังสื่อสาร ให้เต็มประสิทธิภาพ ให้มากกว่า การใช้พลังอำนาจทางการเมือง.

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
11 สิงหาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
คุณอยากได้คำตอบ แบบใด ขึ้นอยู่กับว่า คุณถามใคร.

โดย ปรุง สีงา

“คุณอยากได้คำตอบ แบบใด ขึ้นอยู่กับว่า คุณถามใคร”

สื่อ (ช่อง MCOT) ที่ชอบถาม เต้ มงคลกิต เห็นอย่างไรเกี่ยวกับบ่อนในไทย. เขาต้องการให้เปิดบ่อนเสรี อยู่แล้ว รวมทั้งเซกส์เสรีด้วย เอาเขามาพูด เพื่ออะไร???

มันส่อว่า "คุณอยากได้คำตอบ แบบใด ขึ้นอยู่กับว่า คุณถามใคร"

วันหลัง ต้องเชิญ อัยย์ เพชรทอง มาพูดด้วยว่า ถ้าต้องการให้พุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ต้องต่อต้าน การปล่อยให้มี หรือเปิดเสรี 4 เรื่องนี้ก่อน คือ
-ส่วย
-หวย
-บ่อน
-โสเภณีเสรี

มันคือ "อริสัตว์สี่" ประจำประเทศไทย ไปแล้ว.

ยังไม่ต้องไปยุ่งกับ อิสลง อิสลาม ตอนนี้ จะดีไหม? อัยย์!!!!

ใครที่ไม่เอาด้วยกับ อริสัตว์ 4 เรื่องข้างบน อย่ามาอ้างว่าเป็น ชาวพุทธ. นี่แหละ คือเหตุผลว่า ทำไม่อย่าให้ รธน. ระบุพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติไทย. เพราะ มันจะ "เสียของ"

คิดดูสิ! ถ้าอยางนั้นนะ ในขณะที่ รัฐธรรมนุญ ระบุอยู่โทนโท่ว่า พุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ หมายความว่า คนไทย ต้องอย่างน้อยศีลห้า ใช่ไหม? แล้วไอ้ที่ มันยังเห็นอยู่โทนโท่ แทงลูกกะตา (สวย หวย บอน โสเภณี) จะให้ทำอย่างไร. รธน. ไม่เสียผู้เสียคน หรอกรึ? (ถ้า รธน. เป็นคน)

นี่แหละ ที่ผมว่า มันเสียของล่ะ

ปล่อยให้สังคมไทย มันเป็นอย่างที่เป็นนี่แหละ ดีแล้ว ส่วยมี หวยมี บ่อนมี โสเภณีมี ก็ปราบก็ปรามกันไป ตามเนื้อผ้า. เป็นหน้าที่ของชาวบ้านด้วย ที่จะต้องช่วยกัน "จี้ตูด" เจ้าหน้าที่รัฐ ให้ทำงานกันหน่อย. และอย่าหวังว่า ส่วย หวย บ่อน โสเภณี จะเสื่อมไป จางไป หมดไป สิ้นไป ตราบใด ที่มนุษย์ยังมี ตัณหา ราคะ.

ผมเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า ถ้ายังจะแถให้มี อริสัตว์สี่ ต่อไป ทำสี่เรื่องนี้ได้รึยัง
(1) รับประกันได้ไหมว่า เยาวชน มีภูมิคุ้นกันดีพอ และ ควบคุมไม่ให้ มันแพร่กระจายเข้าไปในสถานศึกษา (2) รับประกันได้ไหมว่า ตำรวจ ทำอะไร ตรงไปตรงมา กับสี่สัตว์นั่น (3) รับประกันได้ไหมว่า เจ้าพ่อ อธิพล จะไม่อาศัยสัตว์สี่ตัวนี่ รักษาอำนาจ อิทธิพล (4) รับประกันได้ไหมว่า ไม่มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง อันนำมาซึ่ง “ความเหลื่อมล้ำ” ในสังคม.

ปลาที่ลอยตามน้ำ คือ ปลาที่ตายแล้ว ฉันใด คนที่ปล่อยๆ ให้ยอมรับกฏเกณฑ์ ที่เอื้อต่อ ความเสื่อมต่ำของผู้คน ก็คือ คนที่ใกล้จะตาย ฉันนั้น.

ปรุง สีงา
5 สิงหาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
ทุกคนในสังคม ต้องมีความเสมอภาคกัน เป็นจริงได้แค่ไหน?

โดย อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า

ความยุ่งเหยิง ปั่นป่วน สับสน ไร้วินัย ของคนในสังคม มีสาเหตุหลักมาจาก การไม่ยอมรับ ความเหลื่อมล้ำ หรือ ความไม่เสมอภาค หรือ ความเท่าเทียมกัน ของผู้คนในสังคม.

กล่าวคือ, เมื่อ ผู้ด้อยกว่า หรือ ผู้เสียเปรียบ ถูก "เอาเปรียบ" จาก ผู้ได้เปรียบ, ผู้เสียเปรียบ ย่อมไม่พอใจ ในขณะเดียวกัน ผู้ได้เปรียบ ย่อมพอใจ. จึงเป็นเหตุให้เกิดข้อเรียกร้อง (ของคนหมู่มาก) ว่า "ทุกคนในสังคม ต้องมีความเสมอภาคกัน."

"ทุกคนในสังคม ต้องมีความเสมอภาคกัน" เป็นแนวคิดในอุดมคติ แต่ในความเป็นจริง เป็นไปได้ยาก เพราะ

"สัตว์-บุคคล-ตัวตน"
-มีธรรมชาติทางร่างกาย ภูมิกำเนิด ไม่เสมอกัน,
-การรับรู้ การเรียนรู้ และ ความรู้ ก็แตกต่างกัน,
-ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก ก็แตกต่างกันมากมาย,

ถ้าทำให้ 'คนหมู่มาก' ในสังคม "รู้สึก" ว่า ได้รับความเสมอภาค ก็ยังนับว่า มีความเป็นไปได้ ระดับหนึ่ง.

ถ้าทำให้ 'ทุกคน' ในสังคม "ยอมรับ" ว่า ได้รับความเสมอภาค นั้น ยากยิ่งนัก.

แต่ถ้าทำให้ 'ทุกคน' หรือ 'คนหมู่มาก' รู้สึก "ทนได้" กับความเหลื่อมล้ำ (ไม่เสมอภาค) หรือ "ยอมรับได้" ในความได้เปรียบ-เสียเปรียบ ของชนช้้นในสังคม. มีความเป็นไปได้มากที่สุด.*

ดังนั้น ผู้มีหน้าที่ (อำนาจปกครอง) ต้อง "สลาย ความรู้สึก" ซึ่งเป็นตัวตนต้นเหตุ ของปัญหาความยุ่งเหยิง ปั่นป่วน, ในขณะเดียวกัน ต้อง "สร้าง การยอมรับ" ในความแตกต่างกัน ในภูมิกำเนิด ฐานะ ศักยภาพ ความรู้ และ ความเชื่อ ของทุกคนในสังคม.

"ทุกคนในสังคม ต้องมีความเสมอภาคกัน" ใช้สำหรับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ได้เท่านั้น. และ ควรเริ่มที่ การสื่อสารให้ทุกคน ได้รับรู้ถึงคุณธรรม ของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคม.

[*ลดความเหลื่อมล้ำ ให้มีช่องว่างน้อยที่สุด แต่อย่าคาดหวัง มันจะหายไป หมดไป]

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
2 สิงหาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
ประชาธิปไตย ที่ทำลายตัวเอง จากฝีตีนของ ทุนนิยมสามานย์.

โดย ปรุง สีงา

ประชาธิปไตยในประเทศไทย ทำให้นักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ นักธุรกิจ นักสื่อสารมวลชน นักศึกษา เข้าใจ "ประชาธิปไตย" ไขว้เขวไปกันใหญ่แล้ว.

ใคร อยากได้อะไร จากใคร ก็อ้างประชาธิปไตย ไว้ก่อน

ประชาธิปไตย กลายเป็น วาทกรรม ที่ต่างฝ่ายต่างก็ใช้เป็นคำอ้างอิง เป็นข้อเรียกร้อง 'สิทธิและผลประโยชน์' ของตน จาก 'สิทธิและผลประโยชน์' ของสาธารณะ (ของหลวง) และของส่วนรวม (เช่น เงินภาษี).

สิทธิและประโยชน์ ทั้งที่ชอบและไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงกลายมาเป็นเป้าหมายหลักสำคัญ ในการเรียกร้อง. ถ้าเช่นนั้น ประชาธิปไตย กับ เผด็จการ ก็ไม่ต่างอะไรกัน เพียงแต่ สับเปลี่ยนตัวตนบุคคลกันเท่านั้น. ผู้ปกครอง (นักการเมือง ข้าราชการ) ที่ได้สิทธิและประโยชน์ (อำนาจ ความชอบธรรม) เพื่อตนและคณะ จะถูกเรียกว่า เผด็จการ. นักวิชาการ นักธุรกิจ นักสื่อสารมวลชน นักศึกษา เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน (รวมทั้ง เด็ก คนแก่ คนพิการ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ และ คนขี้เกียจ คนขี้โกง) ที่เรียกร้อง สิทธิและประโยชน์ ก็จะถูกเรียกว่า ประชาชน.

ดังนั้น ประชาธิปไตย จะดีจะเลว มีประโยชน์หรือโทษนั้น ขึ้นอยู่กับ สิทธิและประโยชน์ ของคนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละคณะ ซึ่งแท้จริง ประชาธิปไตย เป็นแค่เพียง "วิถี" ที่จะได้มาซึ่ง สิทธิและประโยชน์ เท่านั้น.

วิถี 'งูกินหาง'

สิทธิและประโยชน์ ของฝ่ายเรียกร้อง (นักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ นักธุรกิจ นักสื่อสารมวลชน นักศึกษา เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน) เปรียบเหมือน ส่วนหัวของงู ที่ประกอบด้วย เขี้ยวใหญ่ เขี้ยวเล็ก เขี้ยวน้อย ผุดออกมาเต็มปากของงู พร้อมที่จะ กัด ดูด ขย้ำ เหยื่อ มาเป็นอาหาร. (เป็นเป้าหมายหลักสำคัญ ในการเรียกร้อง สิทธิและประโยชน์)

สิทธิและประโยชน์ ของสาธารณะ และ ของส่วนรวม (สินทรัพยากร ดิน น้ำ อากาศ แร่ธาตุ เงินภาษี) เปรียบเหมือน ส่วนหางของงู ที่นับวันจะหมดไป จากการกัด ดูด ขย้ำ กลืนกิน ของส่วนหัวของงู.

เมื่อส่วนหัวของงู มีพลังอำนาจเหนือกว่า ไม่รู้จักอดทน อดกลั้น บรรเทา เรียกร้องเอา สิทธิและประโยชน์ ของสาธารณะ และ ของส่วนร่วม ซึ่งเป็นหางของตัวเอง, เวลาที่เหลืออยู่ ก็ยิ่งน้อยลงทุกขณะ ที่จะบูรณะฟื้นฟู ส่วนที่เป็นหาง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ไม่ทันต่อการพลัง กัด ดูด ขย้ำ ของบรรดาเขี้ยวใหญ่น้อย.

วิถี งูกินหาง วิถี ทุนนิยมสามานย์

ทุนนิยมสามานย์ (Depraved Capitalism) คือ การแสวงและสูบเอามูลค่า ของวัตถุและทรัพยากร ให้ได้มากที่สุด ในห้วงเวลาที่สั้นที่สุด โดยไม่มีการสร้างทดแทน หลังการนำวัตถุและทรัพยากรนั้นไปใช้.

เมื่อพิเคราะห์ดู พฤติการณ์ ทุนนิยมสามานย์ ยืนยงอยู่ได้ เพราะ (1) นายทุนใหญ่ กุมอำนาจผลประโยชน์ ที่เป็นของสาธารณะไว้ โดยอาศัยช่องกฎหมาย (2) ประชาชน ผู้บริโภค ถูกปั่นหัว (เหมือนจิ้งหรีดถูกปั่น) ให้ยอมสยบ ยอมจำนน ในวิถี งูกินหาง ร่วมกันกับนายทุน.

ตัวอย่างเช่น จะปลูกพื้ช ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาบำรุง ยาฆ่า จากแหล่งของนายทุนเท่านั้น, จะซื้อเครื่องใช้ ปัจจัยสี่ ต้องไปที่ตลาด ห้างร้าน (พึ่งพาตนเองไม่ได้), ต้องการยารักษาโรค ต้องไปร้านขายยา (ห้ามผลิตยาเอง), อยากได้ผู้แทน ต้องเลือกเฉพาะ ตัวเลือก เท่านั้น (เหมือนกินข้าวราดแกง ไม่ใช่อาหารตามสั่ง), ถ้าตาย ต้องเอาไปเผาที่วัด (และเสียค่าพิธีกรรม) จะเผาเองไม่ได้.

วิถี งูกินหาง พวกทุนนิยมสามานย์ จึงใช้ประชาธิปไตย มาอำพรางตนเอง เพื่อเอาเปรียบ คนระดับล่าง. ในทางการเมือง พวกทุนนิยมสามานย์ จะอาศัยการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่ง สิทธิและผลประโยชน์ ของตน โดยใช้ประชาชนที่ตนซื้อไว้ เป็น "ม่าน" ปกปิด พฤติการณ์ มูมมามของตน. ในทางเศรษฐกิจ พวกทุนนิยมสามานย์ ก็จะอาศัยทุน หุ้น เงิน ในการโจมตีคู่แข่ง เพื่อรักษาสิทธิและผลประโยชน์ ของตน ซึ่งก็คือ การเอาเปรียบผู้อื่น อย่างหน้าด้านๆ.

ประชาชน ไม่ได้อะไรเลย จากประชาธิปไตย

ประชาชน ก็แค่เป็นเหยื่อ คอยต่อชีวิตมูมมามของตน เพื่อใช้อำนาจ สิทธิ ในการดูด กลืนกิน สินทรัพยากร และเงินภาษีของชาติ ไปให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ในเวลาอันสั้นที่สุด เท่าที่จะสั้นได้. ถึงตอนนี้ ผู้เผด็จการ ต้องเรียก พวกทุนนิยมสามานย์ว่า "พ่อ" กันแล้วละกระมัง.

ในที่สุด งู ก็ไม่มีหาง หรือลำตัว เหลือให้ส่วนหัวได้กลืนกิน อีกต่อไป. ฉิบหายทั้งส่วนหัว ส่วนตัว และส่วนหาง. สิ้นชาติ บรรลัย ก็คราวนี้.

เกษตรทฤษฎีใหม่ ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่คือ วิถีทางรอด

เกษตรทฤษฎีใหม่ หรือที่รู้จักในชื่อ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน การเสียสละ เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ ทรัพยากร สัตว์ และมนุษย์ ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ประมาท ไม่โลภ ไม่เบียดเบียน ภายใต้ความรู้สึก พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน. เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเศรษฐศาสตร์ทฤษฎีใหม่ ใช้หลัก 30-30-30-10 เป็นสูตรโครงสร้าง ในการบริหารจัดการ การผลิต การบริโภค และการจำหน่ายจ่ายแจก.

ด้านกสิกรรม เกษตรกรรม ดำเนินการในมิติ 'จำนวนพื้นที่' เป็นหลัก. คือ 30-เก็บกักน้ำ, 30-ปลูกพืชสวน ผสมผสาน หลากหลาย, 30-ปลูกพืชหลักหมุนเวียน เช่น ข้าว, 10-ที่พักอาศัย สมุนไพร.

ด้านธุรกิจการค้า ดำเนินการในมิติ 'ทุน-เงิน' เป็นหลัก. คือ 30-สะสม ออมทรัพย์,  30-ลงทุน ขยายกิจการ อสังหาริมทรัพย์, 30-บริหาร จัดการ ภายในองค์กร บัญชี ค่าจ้าง, 10-ที่พักอาศัย สุขภาพ. เมื่อมีการโยกย้ายทุนหรือเงิน ในสัดส่วนใดออกไป จะต้องนำกลับคืนในเวลาที่กำหนด.

ประชาธิปไตย หรือ เผด็จการ หรือ ทุนนิยมสามานย์ ต่างก็สุมหัวกัน รุมกินโต๊ะ ส่วนหางของงู. มีเพียงเกษตรทฤษฎีใหม่นี้เท่านั้น เป็นทางรอด เป็นวิถีที่จะช่วยกัน ต่อยอด ต่อหาง ต่อลำตัว ของงูให้ยาวออกไป.

หรืออย่างน้อย ก็ชลอไม่ทำให้หางงู หดด้วนก่อนเวลาอันควร.

กูใหญ่ กูไม่ผิด กูมีสิทธิ์
ปกป้อง ผองความผิด จมมิดหาย
กูไม่ง้อ พ่อกูรวย อวยทุกราย
ทุกเส้นสาย อัยการ กูไม่เกรง

ประเทศนี้ มีคนโต จอมโอหัง
ทำเด่นดัง ฝังเขี้ยว เที่ยวข่มเหง
กฎหมายมี แต่ไม่ คิดยำเกรง
จึงอวดเบ่ง บังอาจ ฟาดงวงงา.

ปรุง สีงา
27 กรกฎาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
ตรรกะ ที่นำไปสู่ การสิ้นชาติ.

โดย ปรุง สีงา

"ล้มล้างระบอบกษัตริย์ สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ"

ข้างบน เป็นข้อความหนึ่ง ของผู้ชุมนุมทางการเมือง คงเป็นลายมือของนักศึกษา ที่เขียนขึ้น ไม่ใช่การตกแต่งตัดต่อภาพแน่นอน. ส่วนคนข้างๆ ที่เห็นรูปชัดๆ นั่น ไม่ต้องบอก ใครๆ ก็รู้ว่าเขาเป็นใคร. เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมหรือไม่ เด็กอมมือก็ตอบได้ไม่ยาก. ข้อความดังกล่าว จะถึงขั้นละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 หรือไม่ หรือ เป็นการคบคิดกบฏต่อแผ่นดินหรือไม่ คงต้องให้ศาลยุติธรรม เป็นผู้ตัดสิน.

ประเทศในปัจจุบัน ไม่ใช่เผด็จการ มีการใช้อำนาจอธิปไตย ทั้ง 3 ฝ่าย คานกัน คืออำนาจนิติบัญญัติ ทางรัฐสภา อำนาจบริหาร โดยรัฐบาล และอำนาจตุลาการ โดยศาลยุติธรรม. ข้อนี้เด็กประถมก็รู้ดี. การจะกล่าวหาพล่อยๆ ว่า รัฐบาลเผด็จการ หยุดการสืบทอดอำนาจเผด็จการ เห็นจะไม่ถูกต้อง.

ผมไม่อยากบอกว่า เยาวชนเหล่านั้น ถูกจ้างมาหรือไม่. นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ ที่ผมจะพูดในวันนี้ คือ พฤติการ ความคิด เช่นนี้ ก่อให้เกิด ความแตกแยก ของคนในชาติ.

เพราะอะไรหรือ?

เรื่องการดำรงอยู่ของสถาบัน เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นแก่นสารสาระสำคัญ ที่จะทำให้ความเป็นชาติ ดำเนินต่อไปได้. ชาติไม่ได้มีเพียงองค์ประกอบเดียว คือ คนไทย เท่านีั้น แต่ยังมี ระบบการปกครอง รูปแบบเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม รวมอยู่ด้วย. ทั้งหมด ต่างมีองคาพยพ ความสอดร้อยกันเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่า "สถาบัน."

ประวัติศาสตร์ คือ ส่วนสำคัญที่สุดของสถาบันวัฒนธรรม เปรียบเหมือนฐานรากฐานหนึ่ง (ในจำนวนสามฐาน). พระมหากษัตริย์ มีความผูกพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับระบอบการปกครองของไทย มากว่าเจ็ดร้อยปี จึงได้ยก สถาบันพระมหากษัตริย์ แยกออกไปให้มีสถานะ อยู่เหนือสถาบันการปกครองโดยรัฐบาล ซึ่งเรารู้กันดีว่า พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่เหนือการเมือง แม้ว่าพระองค์จะใช้อำนาจการบริหารปกครอง แต่ก็ไม่ได้ใช้โดยตรงแต่ ทรงใช้อำนาจนั้นผ่าน คณะรัฐมนตรี.

พระมหากษัตริย์ ว่าเฉพาะราชวงศ์จักรี ทรงเผชิญกับอำนาจของลัทธิล่าอาณานิคม มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน. แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยสูญเสียเอกราชแต่อย่างใด. เพราะเหตุที่พระองค์ ผูกพันธ์กับประชาชนมาตลอด.

ลองคิดดูเถิดว่า ถ้าประมุขของรัฐที่ชื่อประเทศไทย เปลี่ยนเป็นประธานาธิบดี. ผมเชื่อเหลือเกินว่า ความเป็นประมุขจะไม่สามารถแยกขาดออกจาก นักการเมือง ได้เลย.

อย่าลืมว่า ประเทศไทย พัฒนาประเทศเกือบทุกด้าน ตามก้นอเมริกัน มานานหลายศตวรรษ โดยเฉพาะนักการเมืองทุนนิยม หลายคน พยายามจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ให้เหมือนสหรัฐอเมริกา.

เรียกว่า ยอมกินขี้อเมริกา เพื่อแลกกับความร่ำรวย.

สันดานนักการเมือง เป็นอย่างไร ก็จะพาประเทศไทยไปสู่หายนะอย่างนั้น. แม้ว่าเขาจะมีท่าที ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง. แต่โทษที! เขาเลือกที่จะนำพาประเทศไปในทิศทางทุนนิยม เต็มรูปแบบ. ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่เหลือร่องรอย ของระบอบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง ไว้ให้ลูกหลานเห็นในอนาคต อย่างแน่นอน.

ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม มันเหมือนกันทั้งโลก มีีพฤติการเหมือน "งูกินหาง."

ส่วนหัวของงู เปรียบเหมือน "หัวดูด" ซึ่งเต็มไปด้วย เขี้ยว หลายขนาด จำนวนมาก คอยดูด กัด กิน "หาง" ของตัวเอง ซึ่งเปรียบเหมือน ต้นทุน ทรัพยากร ที่มีอยู่อย่างจำกัด. ระบบทุนนิยม นอกจาก ไม่ใส่ใจ หรือส่งเสริมให้ประชาชน (เขี้ยวเล็กเขี้ยวน้อย) ปลูกสร้าง ทดแทนต้นทุน ทรัพยากร แล้ว ยังปล่อยให้ นายทุน (เขี้ยวใหญ่ ในคราบของนักการเมือง) ดูด แดก ทรัพยากร โดยไม่คิดที่จะสร้างทดแทนแต่อย่างใด.

อย่างนี้ ก็จะไม่มีทรัพยกร เหลือเผิ่อไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง.

นี่แหละ คือภาพในอนาคต ที่ผมมองเห็น. หากปล่อยให้นักการเมือง กินรวบ เป็นทั้งประมุขของรัฐ และ เป็นรัฐบาล เป็นนายทุน. พวกเขา ก็จะอาศัยเสียงข้างมาก ขายทรัพยากร ทุกสิ่งทุกอย่าง แบบฉิบหายวายป่วง ตามนิสัยสันดาน.

พ่อหลวง ร.9 ทรงเล็งเห็นเหตุการณ์นานไกล จึงทรงวางรูปแบบเศรษฐกิจ ให้แก่คนไทย ไว้เป็นทางเลือก. นันคือ เกษตรทฤษฎีใหม่ หรือที่รู้จักในชื่อ เศรษฐกิจพอเพียง.

เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ศรัตรูของ ทุนนิยม แต่เป็น 'ทางแยก' ไว้ให้คนที่มีภูมิปัญญา มองเห็นโทษ เห็นภัยของทุนนิยม แล้วกลับตัวกลับใจ เปลี่ยไปเอาวิถีทางของเกษตรทฤษฎีใหม่. แม้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็เป็น "ทางรอด" ให้คนเห็นเอาเป็นแบบอย่างได้.

โชคร้ายที่ในรอบ 30 ปีมานี้ กระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้ใส่ใจกับการต่อยอด เกษตรทฤษฎีใหม่กันเลย ที่ทำไปก็แค่ทฤษฎีพื้นๆ ในโรงเรียนเท่านั้น แต่ในระดับอุดมศึกษา เกษตรทฤษฎีใหม่ เหลือเป็นศูนย์.

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เยาวชนที่พากันมาชูป้ายแสดง วิสัยทัศน์ ไม่เอาสถาบันกษัตริย์ แสดงให้เห็นว่า เขาไม่รู้จัก "ฐานราก" ในความเป็นชาติไทยเลย. สาระที่พวกเขาเรียนมาในมหาวิทยาลัย มันถูกปั่นผสมไปกับระบอบทุนนิยม-วัตถุนิยม จนไม่เหลือซาก ไม่เหลือกำพืดความเป็นไทยให้เห็นเลยสักนิด.

แล้วอย่างนี้ จะโทษใคร ทุกๆ รัฐบาล ในอดีต ก็เป็นผู้ "ตอน" เกษตรทฤษฎีใหม่ ให้เป็นหมันมาทุกยุคของการเป็นรัฐบาล. แม้แต่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชื่อเกษตร แต่ เกษตรทฤษฎีใหม่ แทบจะสูญหายไปหมดแล้ว.

เยาวชนทั้งหลาย ฟังทางนี้ ...
นักการเมืองชั่วชาติทั้งหลาย ฟังทางนี้ ...
องค์กรแซกแทรงจากต่างชาติทั้งหลาย ฟังทางนี้ ...
นักวิชาการขายตัว ทั้งหลาย ฟังทางนี้ ...

ถ้วพวกคุณ จะเล่นเปิดหน้ากันตรงๆ ว่า จะเลือก ไม่เอาสถาบันกษัตริย์ โดยทางประชามติ.

ปรากฏการณ์ แผ่นดินแตก แยกประเทศ ก็จะปรากฏให้เห็นก็คราวนี้แหละ. คนไทยที่ยังจงรักภักดี มีประวัติศาสตร์ในมันสมอง เขาก็จะไม่ยอมเช่นกัน. แต่ที่พวกเขายังเงียบๆ กันอยู่ ก็เพราะยังเอ็นดูเห็นว่าเป็นเด็กไร้เดียงสา. และไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น ในแผ่นดินอันน่ารื่นรมณ์นี้ เขาจึงเป็นฝ่ายยอมสงบนิ่ง.

ปล่อยให้วาจาสามหาว ของพวกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พ่น เรอ กลิ่นนมเน่าออกจากปาก ไปซะบ้าง จะได้ไม่มีอาการลงแดง.

และในอีกไม่นาน รัฐบาลก็คงจะมีคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ในการกำจัด พฤติการเสี้ยนหนามแบบนี้ ในเร็ววัน. โดยเฉพาะผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การยุยงปลุกปั่น.

แต่ใช่ว่า พวกหนูๆ เยาวชน ที่คลั่งประชาธิปไตย ไร้เหตุผล ตลอดจนพวกนักการเมือง และนักเลงขายชาติ จะไม่มีทางออกหรอกนะ. ทางออกน่ะมี แต่ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น คือ

ถ้าจะเอาอารมณ์เสรีประชาธิปไตยไร้ราก มาเป็นเหตุผลในการแยกระบอบ แยกประเทศ ... ออกไปจาก ประเทศไทยซะ!! หรือไม่ก็ หุบปาก!! ... ก่อนที่จะได้ไปใช้ชีวิตแบบอิสระเสรีในประเทศ ห้องกรง.

ปรุง สีงา
21 กรกฎาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
ปรัชญา ลัทธิ เศรษฐศาสตร์ ที่ถูกบิดเบือน โดยลัทธิล่าอาณานิคม.

โดย สู่ดิน ชาวหินฟ้า

(ก) ลัทธิล่าอาณานิคม : การแสวงผลประโยชน์ที่ไม่ถูกจำกัดด้วย ยุคสมัย และ อาณาเขต.

ลัทธิล่าอาณานิคม ยังคงมีอยู่. มันพัฒนามาจาก ความคิดพื้นฐาน ของการเอาเปรียบ ผู้ด้อยกว่า. ความคิดพื้นฐานเหล่านี้ ฝังรากปักลึกแน่น อยู่ในปรัชญา 'ลัทธิทุนนิยมสามานย์' (Depraved Capitalism) และมันได้ถูกนำออกมาใช้กับ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี ไปทั่วโลก โดยพวกนายทุนข้ามชาติ มาตั้งแต่เปิดศักราชใหม่ ในยุครัตนโกสินทร์.

ดังนั้น การขับเคลื่อนลัทธิล่าอาณานิคม จึงมีการสร้างเครือข่าย 'การสนับสนุน' และ 'การมีส่วนร่วม' ผ่าน 5 กลุ่มองค์กร คือ (1) รัฐบาลเผด็จการทางรัฐสภา (ประชาธิปไตย เลือกตั้ง โดยเสียงข้างมาก) (2) พรรคการเมืองประชาธิปไตย (3) องค์กรเอกชน (NGO) ที่มีวาระแอบแฝง ซ่อนเร้น (เพื่อสันติ เพื่อสิทธิมนุษยชน เพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการอนุรักษ์) (4) องค์กรลับ เพื่อบ่อนทำลายศรัตรู ฝ่ายตรงข้าม เหยื่อ โดยหลบเลี่ยงกฎหมาย และใช้วิถีโจร (robber) และ (5) ผู้ชุมนุมประท้วงทางการเมือง.

พฤติการ การสนับสนุนและการมีส่วนร่วม ถูกขับเคลื่อน ด้วยวาทกรรม 'ประชาธิปไตย' 'เสรีภาพ-อิสรภาพ' และ 'สิทธิเท่าเทียม' เพื่อใช้เป็น "ม่าน" ปิดบัง อำพราง ความชั่วช้าสามานย์ของตน ซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยภาพลักษณ์ที่ดูดี.

(ข) การทำลาย และบิดเบือน รากฐานเศรษฐศาสตร์.

ปรัชญาดั้งเดิมของเศรษฐศาสตร์, เศรษฐศาสตร์ (economics) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการจัดการด้าน การผลิต การจำหน่าย จ่ายแจก และ การบริโภคใช้สอย ปัจจัยสี่ และปัจจัยพื้นฐาน ที่ส่งเสริมความเสมอภาคและความมั่งคั่ง อย่างเท่าเทียม โดยไม่เบียดเบียน วัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติ หรือการบริโภคโดยมีการทดแทน.

ผู้เป็นต้นแบบคิดค้น ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี ที่ชื่อ "เศรษฐศาสตร์" (economics) คือ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ, อาดัม สมิธ (Adam Smith) เมื่อปี ค.ศ.1776. เขาเสนอแนวคิด ไว้ในหนังสือ ชื่อ The Wealth Nations (ความมั่งคั่งแห่งชาติ) ว่า การผลิตและการค้า ให้เป็นภาระหน้าที่ของเอกชน, รัฐบาล ควรเข้าแทรกแซงให้น้อยที่สุด. แนวคิดเริ่มต้นของ อาดัม สมิธ ไม่มีวาระแอบแฝง เขาเพียงต้องการให้มีการใช้ นวัตกรรมที่มีในยุคนั้น มาสร้างความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียม และอย่างเสรี อันเป็นแนวคิดที่มาจาก การต่อต้านการใช้อำนาจรัฐในระบอบเผด็จการสังคมนิยม ซึ่งเขาเห็นว่ามันผิดธรรมชาติ และขัดแย้งกับเจตจำนงเสรี ของคนในยุคนั้น.

เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม (Capitalism) คือ การแสวงและสร้างมูลค่า ของวัตถุและทรัพยากร อย่างรู้คุณค่า และให้ได้รับ ผลประโยชน์สูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดของทุน และ ทรัพยากรมนุษย์. เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม โดยแท้ จะไม่เอาเปรียบ และเบียดเบียน. เมื่อมีการนำวัตถุและทรัพยากรไปใช้ ย่อมสร้างทดแทน.

เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมสามานย์ (Depraved Capitalism) คือ การแสวงและสูบเอามูลค่า ของวัตถุและทรัพยากร ให้ได้มากที่สุด ในห้วงเวลาที่สั้นที่สุด โดยไม่มีการสร้างทดแทน หลังการนำวัตถุและทรัพยากรนั้นไปใช้.

เศรษฐกิจพอเพียง (sufficient economy) เป็นเศรษฐศาสตร์ทฤษฎีใหม่ ที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 แห่งราชอาณาจักรไทย (ภปร) ทรงสถาปนาขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 มาจนถึงปัจจุบัน. เศรษฐกิจพอเพียง มิได้เป็นศัตรูกับ ระบอบเศรษฐกิจใดๆ ในโลก. แต่กลับเป็นระบอบที่ 'อุดรูรั่ว' ให้แก่ทุกๆ ระบบ ให้สามารถดำเนินได้ต่อไป.

(ค) เศรษฐศาสตร์ ที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทย

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน การเสียสละ เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ ทรัพยากร สัตว์ และมนุษย์ ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ประมาท ไม่โลภ ไม่เบียดเบียน ภายใต้ความรู้สึก พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน. เศรษฐกิจพอเพียง  เป็นเศรษฐศาสตร์ทฤษฎีใหม่ ใช้หลัก 30-30-30-10 เป็นสูตรโครงสร้าง ในการบริหารจัดการ การผลิต การบริโภค และการจำหน่ายจ่ายแจก.

ด้านกสิกรรม เกษตรกรรม ดำเนินการในมิติ 'จำนวนพื้นที่' เป็นหลัก. คือ 30-เก็บกักน้ำ, 30-ปลูกพืชสวน ผสมผสาน หลากหลาย, 30-ปลูกพืชหลักหมุนเวียน เช่น ข้าว, 10-ที่พักอาศัย สมุนไพร.

ด้านธุรกิจการค้า ดำเนินการในมิติ 'ทุน-เงิน' เป็นหลัก. คือ 30-สะสม ออมทรัพย์,  30-ลงทุน ขยายกิจการ อสังหาริมทรัพย์, 30-บริหาร จัดการ ภายในองค์กร บัญชี ค่าจ้าง, 10-ที่พักอาศัย สุขภาพ. เมื่อมีการโยกย้ายทุนหรือเงิน ในสัดส่วนใดออกไป จะต้องนำกลับคืนในเวลาที่กำหนด.

แต่อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมสามานย์ ยังสามารถดำเนินได้ต่อไป เพราะเป็นระบบที่อาศัย ความต้องการส่วนเกินของมนุษย์ (กิเลส) เป็นปัจจัย ในการควบคุม หลอกล่อ เอาเปรียบ ผู้คนที่ตกเป็น 'เหยื่อ' และ ยอมจำนน ในการแสวงความมั่งคั่งให้แก่พวกตน.

ตราบใดที่ สุนัขยังกินอุจจาระ (หมากินขี้) แมลงวันยังตอมอึ หนอนยังเอร็ดอร่อยในอาจม, ตราบนั้น ลัทธิทุนนิยมสามานย์ ก็ยังมีชีวิตอยู่ และไม่ถูกทำลายไปจากสังคม.

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
10 กรกฎาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
เทคโนโลยีเปลี่ยน อาชีพย่อมเปลี่ยนตาม.

โดย สู่ดิน ชาวหินฟ้า

จาก page ชื่อ ตาสว่าง taswang (ta-awang999.com) post โดย adminta เมื่อ 4 กรกฎาคม 2563. บอกว่า 5 อาชีพนี้ คือ (1) โรงงานผลิตรถยนตร์ (2) อพาร์ทเม้นท์ (3) แท็กซี่ (4) เครื่องใช้ไฟฟ้า (5) พนักงานธนาคาร. เตรียมตกงาน พร้อมยัง อีก 3 ปีข้างหน้า ชัดเจนขึ้นแน่นอน.

และกล่าวอีกว่า "... คุณกำลังทำอาชีพอะไรอยู่ หากตัวคุณในตอนนี้กำลังใช้ชีวิตย่ำอยู่กับที่ ไม่คิดที่จะพัฒนาตัวเองให้ทันกับเหตุการณ์บ้านเมือง และเทคโนโลยีต่างๆ แน่นอนว่า อนาคตของคุณ จะต้องแย่อย่างแน่นอน เพราะว่าบนโลกใบนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่าง เปลี่ยนแปลงไป เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น

โลกหมุนไปเรื่อยๆ ไม่เคยหยุดรอใคร โดยส่วนใหญ่แล้ว คนที่ตามไม่ทัน มักจะเป็นฝ่ายที่ถูกลืมไว้ข้างหลัง

ดังนั้นแล้ว คุณจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ เข้าใจ และพัฒนาตัวเองอยู่ทุกวัน เพื่อให้รอด คุณเตรียมพร้อมกันหรือยัง ..."

ต้องยอมรับว่า มันก็จริงนะ. สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ก็เกิดจากมนุษย์นั่น ส่วนหนึ่ง และธรรมชาติ ก็อีกส่วนหนึ่ง.

แต่ตัวแปรที่จะแก้ปัญหา อันเกิดจากความผันแปรของโลก ก็คือ ตัวมนุษย์นั่นแหละ. แผ่นดินถล่ม ฟ้าผ่า น้ำท่วม ภูมิอากาศเปลี่ยน ไฟป่า น้ำแข็งขั้วโลกละลาย เหล่านี้ เมื่อเทียบสัดส่วน จำนวนมนุษย์ กับความใหญ่โตของโลก (earth) เทียบกันไม่ได้เลย ทั้งปริมาณ ขนาด น้ำหนัก และอายุขัย. การกระทำของมนุษย์ ไม่ทำให้โลกเปลี่ยนไปมากมาย อย่างที่เราเข้าใจ. ธรรมชาติ ถึงเวลา มันก็ต้องเปลี่ยน.

มนุษย์จะทำอะไรได้!

ปรากฏการณ์ แปลกประหลาด พิลึก พิศดาร มากมาย ของธรรมชาติ. มนุษย์ไม่รู้หรอก ว่ามันซับซ้อนแค่ไหน. ต่อให้เอา 'ดีเจป๋อง' มาขึ้นเวทีปะทะกับ 'หมอปลา' ว่าใครผิดถูก ปัญหาก็ไม่จบหรอก.

แต่ที่แน่นอนที่สุด มนุษย์นี่แหละ ที่เบียดเบียนมนุษย์ด้วยกันเอง จนเกิด ทุกปัญหา (ทุกข์ ปัญหา) สารพัดตามมา.

เทคโนโลยี ที่มนุษย์สร้างขึ้น จะกลายเป็น พลวัต คูณสอง คูณสี่ คูณแปด ไปเรื่อยๆ และมันจะส่งผลต่อ 'วิวัฒนาการ' ที่มนุษย์ตามไม่ทัน เป็นเรื่องธรรมดา. แม้ความคิดของคน จะไร้ข้อจำกัด แต่การทำอะไรที่เหมือนๆ กัน ซ้ำๆ กัน 100% คนทำไม่ได้ แต่หุ่นยนต์มันทำได้ ไม่จำกัด.

ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอก ที่อยากมีชีวิตแบบซ้ำๆ ซากๆ ได้นานตลอดชีวิต. บางคนเจอความซ้ำซากจำเจ แค่ชั่วโมงเดียว วันเดียว เดือนเดียว หรือ ปีเดียว ก็ยังทนไม่ได้เลย. แต่หุ่นยนต์ มันไม่มีเรื่องพวกนี้ มันจึงอยู่ได้ และมันก็ทำงานไป ตามโปรแกรม. ไม่มีโปรแกรมใดๆ ในจักรวาลนี้ จะทำการโปรแกรมให้มนุษย์ ทำ/ไม่ทำ โน่น นั่น นี่ ได้ นอกจาก "วิบากกรรม" ของตัวเอง.

คนที่มีจิต ขี้โลภ ริษยา คนที่มีเมตตา กรุณา ก็มีอยู่ทั่ว กระจายกันไป. ถ้าอยู่กระจุกกันเมื่อใด.

ความบรรลัย ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น.

คนเลวรวมตัวกัน ก็จะเกิดพลังเลว ที่มีขนาดของแรงเพิ่มมากขึ้น. ส่วนคนดี ที่รวมตัวกันแบบกระจุก แม้จะสร้างพลังดีไว้มาก, แต่เมื่อไม่พบเจอ สิ่งเลวๆ ก็ไม่มีโอกาสได้ถ่ายเท พลังดี ออกไป. นี่แหละ ที่เรียกว่า บรรลัยละ.

ทุกอาชีพ ย่อมมีคนดี คนเลวปะปนกันไป.

ช่วงเปลี่ยนผ่าน หาอาชีพใหม่ แทนอาชีพแบบเดิม มันก็จะมี มิจฉาชีพ แฝงตัวเข้าไป ข้อนี้ก็ระวังกันเอาเองนะครับ. อย่าหวังพึ่งเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเดียว ที่จะปกป้องพวกมิจฉาชีพให้เรา. ลองคิดดู คนไม่ดี (อยู่ที่มืด) กับ เจ้าหน้าที่ คนดี (อยู่ในที่สว่าง) ใครมีจำนวนมากกว่ากัน.

สัมมาอาชีพ มีอยู่คู่กับสังคมมนุษย์ไปตลอด. ใคร จะทำอะไร ก็อย่าสร้างปัญหา ความเดือดร้อน แก่คนอื่นก็แล้วกัน.

พ่อหลวง ร.9 บอก ให้พึ่งตัวเอง ไม่ได้บอกให้พึ่งรัฐบาล.

นักการเมือง มาแล้วก็ไป ไปแล้ว ก็มาอีก.
ทหารถือปืนอย่างเดียวไม่ได้.
ชาวนา ทำนาอย่างเดียว ก็อดตาย. (อย่างทุกวันนี้ไง)
พ่อค้า เอากำไรถ่ายเดียว ก็ขายของไม่ได้.
นายทุนมีเงินอย่างเดียว สู้โควิด ได้ซะที่ไหน.
ขอทาน ยังต้องใช้กลยุทธ์ สร้าง event แลกเงิน.

มีแต่พระเท่านั้นแหละ ที่มีกิน มีใช้ ร่ำรวย มีบ้าน (วัด) อยู่ โดยไม่ต้องออกแรง ออกทุน. ขณะที่ชาวบ้าน นักการเมือง ทหาร นายทุน พ่อค้า ชาวนา ขอทาน กำลังปวดหัวกับปัญหารอบด้าน.

จงพึ่งตัวเอง คิดทำสิ่งใดด้วยตัวเอง.

คนที่เคยมีหนี้ (หนี้แบงค์, หนี้ต้องส่งลูกเรียน) ก็ลำบากหน่อย. ค่อยๆ คิดหาทางปรับแก้กันไป อะไรที่เป็น "รูรั่ว" ปิดมันซะ เจ็บหน่อย ก็ต้องยอม. อะไรที่ต้องแบก ก็ต้องแบก เพราะวิบากกรรม ก็ต้องยอม ลูกเล็กๆ ที่มีอยู่ ก็เลี้ยงดูกันไป.

เกิดเป็นมนุษย์ สุดแสนดี
เกิดในนรกอเวจี หาดีไม่
เกิดเป็น เทวดา อย่าดีใจ
เกิดเป็นใคร ก็แก่ตาย เป็นธรรมดา.

เป็นมนุษย์ สุดยาก แสนลำบาก
เรื่องกินอยู่ ก็หลาก มากตัณหา
ทั้งเจ็บป่วย หวยหุ้น หมุนเงินตรา
มากปัญหา ก็อย่า ฆ่าตัวตาย.
(ก็แล้วกัน)

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
7 กรกฎาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ วิเคราะห์:
ภิกษุณีในประเทศไทย ยังมีอยู่หรือไม่?.

โดย ปรุง สีงา

พุทธบริษัทสี่ ยังมีอยู่ครบหรือไม่? โดยเฉพาะภิกษุณี ยังเป็นประเด็นปัญหาอย่างกว้างขวาง สำหรับประเทศไทย. ส่วนประเทศอื่น ที่นับถือพุทธสายมหายาน เขาก็ยังแสดงให้เห็นว่า ยังมีภิกษุณีอยู่ ส่วนพุทธสายหินยาน บอกว่า องค์ประกอบในการบวชภิกษุณี หมดไปแล้ว.

พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ต้องบริหารจัดการ 'เคร่งครัด อย่างยืดหยุ่น - ยืดหยุ่น อย่างเคร่งครัด' ภายใต้หลักสมมุติสัจจะ (สังขตธรรม) อย่างเหมาะสม เพื่อให้บรรลุผล ตามหลักปรมัตถสัจจะ (อสังขตธรรม)

ในความเห็นที่แตกต่างกัน ระหว่างชาวพุทธในประเทศไทย ทั้งฝ่ายยืดหยุ่น และฝ่ายเคร่งครัด ว่า ควรให้มี/ไม่มี ภิกษุณี. ยังคงเป็นข้อพิพาทกัน มาจนถึงทุกวันนี้.

นักสิทธิมนุษยชนส่วนใหญ่ มีความเห็นว่า แนวคิดการกีดกันทางเพศ หรือการกดขี่ทางเพศ (ชาย เหนือกว่าหญิง) เป็นสาเหตุหนึ่ง ในข้อพิพาทว่า ควรให้มีการบวชภิกษุณีต่อไปได้. แต่ฝ่ายที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ก็ค้านว่า ไม่สามารถบวชภิกษุณีได้ เพราะ "กฎเกณฑ์" ต่างๆ ที่พระศาสดากำหนดไว้ ขาดหายไปหมดแล้ว ในยุคปัจจุบัน (ไม่มีภิษุณีสงฆ์เป็นเชื้อเหลือ ให้ต่อยอด).

สมมุติ (หลักการ กฏเกณฑ์) ก็จำเป็น, สัจจะ (มรรคผล) ก็สำคัญ. ตกลงแล้ว เอาไงดี?

ถ้ามองในแง่ประวัติศาสตร์ ก็คงทะเลาะกันไม่หยุด เพราะต่างก็อ้างหลักฐานมายันกัน ว่าฝ่ายตนเองถูกต้อง (กว่า).

ผมจะไม่พูดถึงว่า ใครผิดใครถูกหรอกนะ. การมีภิกษุณีในยุคเริ่มต้น คล้ายมีการเมืองมาเป็นเงื่อนไขให้ต้องมีภิกษุณี. คิดดูเถอะว่า คนที่ขอบวชเป็นภิกษุณีรูปแรก ถ้าไม่ใช่ พระมหาประชาบดีโคตมี (เทียบเท่าแม่ผู้ให้กำเนิด) พระองค์คงไม่อนุญาติหรอก. และเมื่อมีภิกษุณีรูปแรกแล้ว ความเป็นสถาบัน ก็เกิดขึ้น. พระองค์จำต้องรับผิดชอบ ให้มีภิกษุณี ต่อยอดไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสารพัดปัญหากวนใจ แต่พระองค์ก็ 'เอาอยู่'.

เช่น เหตุเคยเกิดมาแล้วในอดีต กรณี ภิกษุณีเกิดท้องขึ้นมา (ท้องก่อนบวช). เรื่องนี้ พระองค์ให้จัดการทำนองว่า ให้สงฆ์สมมุติภิกษุณีรูปหนึ่ง ให้เป็นแม่เลี้ยงเด็ก.

"สมัยนั้น หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์แล้ว บวชในสำนักภิกษุณี เมื่อนางบวชแล้วเด็กจึงคลอด ครั้งนั้น นางคิดว่า เราจะพึงปฏิบัติในเด็กชายนี้อย่างไรหนอ … ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เลี้ยงดู จนกว่าเด็กนั้นจะรู้เดียงสา นางคิดว่าเราจะอยู่แต่ตามลำพังไม่ได้ และภิกษุณีอื่น จะอยู่ร่วมกับเด็กชายอื่นก็ไม่ได้ เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ … ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติภิกษุณีรูปหนึ่ง ให้เป็นเพื่อนของภิกษุณีนั้น. ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปฏิบัติในเด็กชายนั้น เหมือนปฏิบัติในบุรุษอื่น เว้นการนอนร่วมเรือนเดียวกัน. ..."

(อริยวินัย - พระไตรปิฎก เล่ม 8 ข้อ 188 หน้า 599.)

แต่พอหลังจากที่พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว นั่นแหละ ความเสื่อมก็ค่อยๆ เกิดขึ้น ในฝ่ายพุทธหินยาน. เข้าใจว่า พระสาวกรุ่นถัดมา คงเกิดอาการเอาไม่อยู่ก็ได้ จึงไม่ใส่ใจ เอาภาระ เรื่องภิกษุณี. เพราะลำพัง ภิกษุ ก็วุ่นวายไม่น้อยอยู่แล้ว. ก็คงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ. ส่วนพุทธมหายาน เขามีขั้นตอน ที่เจาะช่องให้มีภิกษุณีได้ต่อ. ไม่ว่าจะเป็นพุทธหินยาน หรือมหายานก็ตาม, อย่าลืมว่า ภิกษุปุถุชน ยังมีกิเลสอยู่ มักหรืออาจก่อเหตุ อันไม่สมควรแก่ ภิกษุณี ซึ่งเป็นภิกษุณีปุถุชน เหมือนกัน. เรื่องคงวุ่นวายพิลึก ราคะกิเลส มันไม่ยกเว้น เลือกบุคคลซะที่ไหน.

ที่จริง เรื่องวุ่นๆ เกี่ยวกับภิกษุณี มีมากกว่านี้เยอะ เยอะกว่าภิกษุหลายเท่า. นี่คือเหตุผลข้อหนึ่งที่พระองค์ ไม่ทรงยินดีที่จะให้มี ภิกษุณี ในพุทธศาสนา.

อ้าว! กีดกันเพศสภาพอีกแหละ.

แต่ก่อนจะกล่าวหา กล่าวตู่พระองค์ ฟังคำทำนาย เชิงตัดพ้อนี้ ซะก่อน.

"... ดูกรอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน, สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี. ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว. บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง 500 ปีเท่านั้น. ..."

(อริยวินัย - พระไตรปิฎก เล่ม 8 ข้อ 156 หน้า 517-518.)

เรื่องนี้ พระองค์ให้เหตุผลว่า 'การบรรลุธรรม' (โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์) คือหัวใจสำคัญ ของการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. ใครจะมีฐานะอย่างใด จะเป็นนักบวชหรือคฤหัสน์ ก็ได้ สามารถ เรียนรู้ธรรม และบรรลุธรรม ได้ทุกคน แม้ในชาตินี้ (ถ้าเอาจริง).

แหมๆ คิดจะเหมาไปให้ถึงนิพพาน ในชาติเดียวนี่น่ะนะ. ก็สาธุด้วย ถ้ามันง่ายอย่างที่ตั้งความหวังไว้. ถ้าเผื่อไม่รอต่อชาติหน้า ขอชาติเดียวจบ พบนิพพานเลย, ก็เอาซิ. สาธุ.

ดังนั้น การได้ฐานะนักบวชหรือไม่ ก็อย่าไปอึดอัด มากอัตตา (เรื่องมาก) นักเลย. ตถาคต ให้ทำอะไร ก็ทำๆ ไปเถอะ อย่าโวยวาย!. ได้นิพพานเมื่อไร นั่นแหละ คือ ที่จบที่สุด. แต่มันไม่ง่ายหรอกนะ. แต่ที่ใช้เป็นข้ออ้าง อยากบวชกันนักหนา ก็คือ สมณเพศ เอื้อต่อการบรรลุธรรม ได้มากกว่าการเป็นคฤหัสน์ อันนี้จริง. แต่ในยุคนี้ บวชเป็นพระ เป็นเถร เป็นภิกษุณี สามเณร ชีพราหมณ์ ก็อยู่ยากไม่น้อยนะครับ เผลอๆ อาจบรรลุธรรม ยากกว่าฐานะคนธรรมดาก็ได้. เพราะแต่ละวัด 'เงื่อนไข' เยอะ. แต่ละเงื่อนไขที่ต้องทำ โน่น นั่น นี่ ส่วนใหญ่ นอกทาง นอกทิศ ซะด้วยสิ. แล้วอย่างนี้ จะเห็นนิพพานกันตอนไหนล่ะ?

ที่จริง ตถาคต ให้ค่าแก่สตรี ตามสมควรแก่ฐานะ ตามศักยภาพและกายภาพเป็นอย่างดี และเป็นธรรมที่สุดแล้ว. ยังไง หญิง ชาย ก็ไม่เท่าเทียมกันหรอกครับ. หญิง ก็มีข้อจำกัดระดับหนึ่ง ชายก็เช่นกัน. ในมุมมองของตถาคต ความเป็นเพศ ไม่ใช่เงื่อนไข ที่ใช้กับ "สัตว์" ที่เป็น มนุษย์เท่านั้น, แต่ยังรวมไปถึง เทวดา ด้วย. พระองค์บอกว่า การเป็น พระมหาจักรพรรดิ (มนุษย์), ท้าวสักกะ (จักรพรรดิของเทวดา), จอมอสูร (จักรพรรดิของนรก) และ เป็นพระพุทธเจ้า นั้น มีแต่เพศชายเท่านั้น ที่จะเป็นได้ เพศหญิงเป็นไม่ได้.

ไหนล่ะ ความเท่าเทียมทางเพศ?

พุทธบริษัท นอกจากนักบวช (ภิกษุ ภิกษุณี) แล้ว, ยังมีผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอื่นอีก ได้แก่ อุบาสก (ชาย) อุบาสิกา (หญิง), ผู้เป็นคฤหัสถ์นุ่งห่มขาว (ชาวบ้าน) ที่เรียกว่า "ชีพราหมณ์" มีทั้งที่ประพฤติพรหมจรรย์ (รักษาอุโบสถศีล มี 8 ข้อ) และยังบริโภคกามอยู่ (สามี-ภรรยา ที่ยังรักษา ศีล 5 ข้อ). (บาลี ปา. ที. 11/137/105.) โดยที่ต้อง "รักษาศีล" ตลอดเวลา คือ ชีวิตหนึ่ง รับศีล 'เพียงครั้งเดียว' ไม่ใช่ รับแล้วทิ้งขว้างไว้ที่หัวบันไดวัด แล้วอีกเจ็ดวัน ก็ไปรับศีลใหม่ อย่างที่ปฏิบัติกันมา. อย่างนี้ ไม่ใช่ อุบาสก อุบาสิกา. ยังเป็นชาวบ้านทั่วไป แม้ในทะเบียนบ้าน จะระบุว่านับถือพุทธ ก็ตาม. คนกลุ่มนี้ พระศาสดา เรียกว่า 'ปุถุชน'. ถ้าเป็นนักบวช พระองค์ก็ปรับเอาผิดแรงหน่อย, พระองค์ ถึงกับกล่าวว่า คนพวกนั้นเป็น 'คนนอกบัญชี' (นอกรีต)

"ภิกษุ ท. ! ภิกษุเหล่าใด เป็นคนหลอกลวง กระด้าง พูดพล่าม ยกตัว จองหอง ใจฟุ้งเฟ้อ ; ภิกษุ ท. ! ภิกษุเหล่านั้น ไม่ใช่ 'คนของเรา.'"

(ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ เล่ม 1 หน้า 81 - บาลี พระพุทธภาษิต จตุกฺก. อํ. 21/33/26.)

ที่จริง พฤติกรรมนอกบัญชี ที่ว่านี้ มีอยู่เยอะกว่านี้มาก นี่เพียงยกตัวอย่าง.

นอกจากนี้ พระองค์ยังเรียก สตรีที่เตรียมบวชว่า 'สิกขมานา' แปลว่าสามเณรี ต้องอยู่ปฏิบัติ ไม่น้อยกว่า 2 ปี. ส่วนคำว่า 'สมณุทเทส' ก็หมายถึง สมเณรี เช่นกัน. (ท่านพุทธทาส แปลคำว่า สิกขมานา และ สมณุสเทส ว่าคือ สมเณรี. แต่ สมณโพธิรักษ์ ใช้คำว่า สิกขมานา สำหรับเรียก นักบวชหญิง แปลว่า นักศึกษาหญิง ซึ่งถ้าเข้าไปศึกษา สังเกตใกล้ชิด, สิกขมานา มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด ไม่ต่างจาก ภิกษุณี. ส่วนคำว่า สมณุทเทส ใช้เรียกผู้เตรียมบวชชาย (ผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็ก) ก่อนจะบวชเป็นภิกษุ ซึ่งหมายถึง สามเณร นั่นเอง).

ส่วน พวกคนที่สับสนทางเพศ ชนิดแทงกั๊ก เป็นชายก็ได้ เป็นหญิงก็ได้. อันนี้ พระศาสดา ไม่อนุญาตให้บวช. ถ้ารู้ทีหลัง ก็ให้สึก. อ้าว! ถ้างั้นก็ไปขัดใจ พวกลัทธิสิทธิมนุษยชน ปนประชาธิปไตยอีกแหละ. ก็อย่างที่บอก ไปเถียงเอากะพระศาสดาเองก็แล้วกัน.

เหตุผลที่พระศาสดา กำหนดข้อห้ามต่างๆ ในการเป็นนักบวช ในพุทธศาสนา กรณีนี้รวมถึง ห้ามเอาเด็กเล็กๆ มาบวชสมเณรด้วย, อันเป็นที่ขัดอกขัดใจ คนที่นิยมลัทธิสิทธิมนุษยชน ปนประชาธิปไตย อีหตามเคย. ที่ห้ามเช่นนี้ก็เพราะ พระองค์ "เอาจริง" ไม่ต้องการให้ใครๆ 'ดึงฟ้าต่ำ' เอามาล้อเล่น. กว่าที่พระองค์จะตรัสรู้ธรรมอันยิ่งยวด พระองค์ต้องแลกกับความเพียรพยายามต่อภพต่อชาติ เกิด-ตาย ตาย-เกิด มานานนัปแสนมหากัป มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย. ดังนั้น สิ่งที่พระองค์พูดแสดงออกไป ย่อมมีคุณค่า อัดแน่นด้วยสาระสัจจะ ที่ไม่มีมนุษย์คนใดในจักรวาลนี้ จะทำได้.

ในอรรถและพยัญชนะ ภาษาบาลี ที่เราเรียนรู้มานั้น ย่อมมีความหมายอันลึกซึ้ง อยู่ข้างใน ดังที่พระศาสดา บอกว่าคำพูดของพระองค์นั้น แท้จริงแล้ว "... คมฺภีรา (ลึกซึง) ทุทฺทสา (เห็นได้ยาก) ทุรนุโพธา (รู้ตามได้ยาก) สนฺตา (สงบ) ปณีตา (ประณีต) อตกฺกาวจรา (จะคาดคะเนเอาไม่ได้) นิปุณา (ละเอียด) ปณฺฑิตเวทนียา (รู้ได้เฉพาะบัณฑิต) ..." (บาลี สุตฺตนฺตปิฏเก ทีฆนิกายสฺส สีลกฺขนฺธวคฺโค ๙/๒๒/๓๑.)

ดังนั้น เราไม่ควรคิดเอาเองด้วยตรรกะของเรา หรือตามที่อาจารย์ของเราบอกสอน. เพราะว่า สัทธรรม คิดค้นและบัญญัติโดย พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ พระองค์ย่อมเป็นผู้รู้ดีที่สุด.

สรุปว่า เมื่อสมัครรักษาศีลแล้ว ไม่ต้องมีลา. ท่านใด ยังอยู่ในสายปฏิบัติตามแนวทางนี้ จะเป็นนักบวช หรือไม่ก็ตาม. พระศาสดา เรียกว่า "อริยบุคคล" (โสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี, อรหันต์) ถ้าถึงขั้น โสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี แล้ว มีโอกาสได้เกิดเป็น มนุษย์ และ เทวดา ได้อีก แต่ถ้ายังไม่ถึง อรหันต์ ก็ยังไปนรกอยู่.

ท่านใด มีอาจารย์ของท่านบอกสอน แตกต่างจากนี้ หรือมีความเชื่อ แตกต่างจากนี้, นั่นคือ ไปผิดทาง. ผิดทาง ถ้าก่อนตาย, ไม่ใช่นักบวช ก็ลงนรก อย่างดีก็เป็นเปรต, ถ้าเป็นนักบวช ก็ไปเป็น ภิกษุเปรต ภิกษุณีเปรต. สรุป ปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ยังไม่ได้ วิมุตติ-นิพพาน ก็ยังไม่พ้นนรก อยู่ดี.

ถ้าใครไม่เชื่อ ก็ไปเถียงเอากับพระตถาคตเองก็แล้วกัน.

กรณีนี้ บางท่านอาจรู้สึกไม่สบายใจ อาจถึงกับโวยวายว่า นี่! จะให้ทรยศต่ออาจารย์ที่เคารพรัก อย่างนั้นหรือ? ท่านเป็นพระผู้ใหญ่นะ. ผมไม่เถียง และขออภัย ที่จะบอกว่า หากเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับ 'พระสัทธรรม' (พุทธวจน, ธรรมะที่เป็นแก่นแท้) ท่านจะเชื่ออาจารย์ของท่านอย่างไรก็ได้ สุดแล้วแต่ความศรัทธาของท่าน. พระสรรพพัญญูของพระองค์ ไม่มีผู้ใดเทียบได้เลย.

คุณธรรม ที่เป็นข้อปฏิบัติ ให้ผู้เป็นนักบวช บรรลุธรรม จะขอยกตัวอย่างสัก 2 พระสูตร. เพื่อบรรเทาข้อกังขาว่า ความเป็นภิกษุณี
นั้น จะอยู่ในสมมุติใด สถานใดก็ตาม, การได้บรรลุธรรม เพราะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นั้นคือสาระสำคัญ และเป็นเป้าหมายสูงสุด ถึงขั้น ต้องปล่อยวาง 'อัตตา' ได้หมดจดจริง.

"... ภิกษุทั้งหลาย ธรรม 4 ประการเหล่านี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล 4 ประการเป็นอย่างไร คือ
(1) การคบสัตบุรุษ (สปฺปุริสสํเสว)
(2) การฟังสัทธรรม (สทฺธมฺมสฺสวน)
(3) การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ)
(4) การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติ)
ภิกษุทั้งหลาย ธรรม 4 ประการเหล่านี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ..."

(บาลี มหาวาร. สํ. 19/516/1634., บาลี จตุกฺก. อํ. 21/332/248.)

"... ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ หรือ ภิกษุณีรูปใด เจริญแล้ว กระทำให้มาก ซึ่งธรรม 5 ประการเหล่านี้ ผลอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาผล 2 ประการ เป็นสิ่งที่เธอหวังได้ คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จะเป็นอนาคามี

ภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 ประการนั้น เป็นอย่างไร 5 ประการ คือ ภิกษุในกรณีนี้
(1) เป็นผู้มีสติอันเข้าไปตั้งไว้ด้วยดีเฉพาะตน เพื่อปัญญาอันให้หยั่งถึงความเกิดขึ้นและดับไปแห่งธรรมทั้งหลาย.
(2) พิจารณาเห็นความไม่งามในกาย
(3) มีความสำคัญว่าเป็นของปฏิกูลในอาหาร
(4) มีความสำคัญว่าโลกทั้งปวงไม่มีอะไรที่น่ายินดี
(5) พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ..."

(บาลี ปญฺจก. อํ. 22/161/122.)

"ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใด ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง, ปฏิบัติตามธรรมอยู่; ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมสักการะ เคารพนับถือ บูชาตถาคต ด้วยการบูชาอันสูงสุด"

(พระองค์ ทรงตรัสแก่พุทธบริษัท ในคราวประทับสีหเสยยาครั้งสุดท้าย - บาลี มหา. ที. 10/159/128.)

โอกาสต่อไป ผมจะไปสืบค้น เพื่ออธิบาย 'ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม' และ 'โยนิโสมนสิการ' (การกระทำไว้ในใจ โดยแยบคาย) นั้น, ตถาคต กับ เรา เข้าใจเหมือนกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร. รวมทั้ง บทบัญญัติว่าด้วย การบวชภิกษุณีสงฆ์.

ปรุง สีงา
4 กรกฏาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
ประเทศไทย อาจเลวร้าย อย่างที่คิด ถ้ามองในมุมลบ.

โดย ปรุง สีงา

วันนี้ ได้อ่านบทความ ที่ไม่ระบุผู้เขียน แต่ระบุผู้โพสต์ ผ่าน Line ชื่อคุณ วิบูลย์ เห็นว่า มีแง่คิดที่ยังเข้าใจผิด และมีช่องว่างให้ตีความเป็นอื่นใด้. กล่าวในทำนองว่า ประเทศไทยแย่แล้ว คนไทยอ่อนแออย่างหนัก กำลังจะถูก ชาวจีน อาบัง ยึดอาชีพทำมาหากิน. แต่กลับไม่พูดถึง ทุนนิยมอเมกันข้ามชาติ ที่ได้กลืนกินประเทศไป มานานนับศตวรรษ ไปจนครึ่งค่อนแล้ว นั่นอันตรายกว่า ไม่แพ้กัน.

จึงขอนำมาให้ อ่านอีกรอบหนึ่ง แล้วมาดูกันว่า อะไรจริง อะไรไม่จริง อะไร เป็นอาการกระต่ายตื่นตูม อะไร เป็นการตอแหลใส่ความ.

โปรด อ่านครับ

“... คนไทยรู้ตัวกันบ้างไหม ไทยกำลังกำลังตกเป็นเมืองขึ้น. ธุรกิจดีๆในไทยส่วนใหญ่ถูกคนจีนยึดไปแล้ว. โรงสี ห้องเย็น โรงแรม ท่องเที่ยว คอนโดอสังหา บ้านจัดสรร ร้านอาหาร ทุเรียน? ข้าวโพด? กล้วย ข้าว ผลไม้อื่นๆ อาหารทะเล โรงงานผลิตสินค้าต่างๆ ตลาดขายส่ง ฯลฯ

ณ เวลานี้ คือ เวลาเปลี่ยนมือ ไม่ใช่ของไทยแล้ว

เมื่อเขายึดได้ เขากลับเอาคนจีนเขาเข้ามาทำงาน งานของคนไทยที่อยู่เดิมค่อยๆ หลุดจากวงโคจร. คนไทยเกือบครึ่งของคนที่มีงานทำวันนี้ กำลังจะตกงานในปี 2563 คนไทยเจ้าของแผ่นดิน กำลังจะไม่มีกิน. เดิมผมเคยเขียนเรื่องเอไอแย่งงานคนไทย วันนี้ ผมเจอเรื่องที่เร็ว แรง และชัดเจนกว่านั้นคือ คน และ ทุนจีน ครับกำลังกลืนประเทศไทย

โรงสีใหญ่ในหกจังหวัดภาคกลางกว่าครึ่ง จีนซื้อไปแล้ว โรงแรมเกือบครึ่งในเมืองท่องเที่ยวหลักของไทย เป็นของคนจีน คอนโดเปิดใหม่ในทำเลทองหลายแห่ง ลูกค้ารายใหญ่คือคนจีน ห้องเย็นรายเล็ก ที่มหาชัย เป็นของคนจีนเกือบร้อยแห่ง ตลาดสำเพ็ง พันทิพย์ สี่มุมเมือง ตลาดไท ฯลฯ เจ้าของร้านหน้าใหม่เป็นคนจีน ร.ร. ในพัทยา ภูเก็ต สุราษฎร์ ขอนแก่น เชียงใหม่ เชียงราย ก็เสร็จคนจีน ทุเรียนวันนี้ที่จันท์ไปดูเอาเองครับ ฟาร์มกล้วยไม้ ผลไม้ กุ้ง ปลา จาระไนไม่หมด

เขามาซื้อแพงกว่าราคาปกตินะครับ แผงเซ้งกัน 30,000 เขามาบอก ขอเซ้ง 50,000 เป็นเรายอมไหม ตอนโดขายกัน 2 ล้าน คนไทยต่อเหลือล้านแปด เขามาบอกให้สองล้านห้า. นโยบาย และแผนงานรัฐบาลจีนไม่ได้น่ากลัว แต่เป็นความขยันและพลังทุนมหาศาลของนักธุรกิจจีนต่างหาก. รัฐบาลไม่มีนโยบายรุกรานเบียดเบียนใคร แต่คนจีนพร้อมไปทุกที่ที่มีโอกาส. คนจีนรุ่นนี้ต่างกับรุ่นเก่าที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่เขาออกมาแสวงหาความมั่งคั่ง ฉะนั้น?การทะนุถนอมดูแลแผ่นดินที่เข้าไปทำมาหากินจะต่างกัน.

ผมทราบมาว่า... ผู้คนในจีนที่ประสงค์ออกทำมาหากินต่างแดน มีแหล่งเงินกู้ระดับสิบล้านให้เข้าถึงได้เสมอ. คนจีนไม่กลัวการไปทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ไม่กลัวการไปยังดินแดนใหม่ ไม่กลัวความยากลำบาก ไม่กลัวขาดทุน พร้อมออกจากคอมฟอร์ทโซน ไปแสวงหาโอกาสตลอดเวลา ที่สำคัญ?ยังไม่กลัวกฎหมาย?ประเทศนั้นๆ

นศ ที่ได้ทุนที่รัฐบาลให้ไปเรียนต่างแดน ถ้าไม่กลับบ้านและทำงานอยู่กินในดินแดนนั้นๆ ต่อ ไม่ต้องใช้ทุน แถมมีทุนเพิ่มให้ประกอบอาชีพ ถ้าเรามีตาทิพย์ มองเห็นคนจีนเป็นสี มองไปทั้งโลก เราจะเห็นว่าตอนนี้สีนั้นกำลังเข้มขึ้นในทุกที่อย่างรวดเร็ว.

ผมฟังเรื่องราวการเข้าแทรกซึมทางการค้า ในระดับรากหญ้าของประเทศเพื่อนบ้าน มาตั้งแต่ช่วงสองปีก่อน ที่ลาว พม่า มาเลย์ อินโด เวียดนาม เขมร ฟิลิปปินส์ ได้ยินเรื่องปัญหาความกระทบกระทั่งแย่งงานคนท้องถิ่น เจ้าซื้อกิจการ การนำสินค้ามาขายแข่งในราคาต่ำกว่า.

ด้วยความที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในต่างประเทศ เพิ่งมีโอกาสได้มองสถานการณ์ไทยอย่างจริงจัง จึงได้เห็นว่าไม่ต่างกัน.

ที่จะต่างกันบ้างคือของเรายังไม่เคยเป็นเรื่องเป็นราว รัฐบาลไม่เคยออกมาทำอะไร คนไทยยังไม่เคยโวยวายเหมือนเวียดนาม มาเล อินโด ส่วนลาว เขมร พม่า ฟิลิปปินส์ผมยังไม่เคยได้ยิน. นี่ว่ากันเฉพาะในเอเชียนะครับเพราะมองทางไกลไม่เป็นยังนับถือ?แค่เศษเงิน.

เรารู้สึกว่าเงินฝืด แต่เคยมองไปรอบๆ ไหมว่า เงินไปไหน?

คนไทยที่ยากจนกำลังโดนขึงพืดรุมโทรม. เอไอ แย่งงาน นายทุนทำธุรกิจสะดวกซื้อครบวงจร ทุนต่างชาติเข้ามายึดแย่ง สูบความมั่งคั่ง และทรัพยากร รัฐบาลบริหารไม่เฉียบขาด รวมทั้งประชาชนคนไทยเห็นแก่ตัว การเรียนการศึกษาไม่มีคุณภาพ เป็นพานิชย์ ค่ารักษาแพงโหดคุณภาพห่วย ของมอมเมาล่อลวงเยาวชน และคนไม่มีสติ มีให้เข้าถึงได้ง่ายดาย ยาเสพติดอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ฯลฯ

อยากรอดต้องคิดสร้างสรรค์ ลงมือทำไม่ขายตัวเองและทรัพย์สิน? ทำตัวดี อดทน หนักเอาเบาสู้ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่สร้างเรื่องช่วยกันสามัคคี?กัน? คิดถึงส่วนรวม?มากกว่า?ส่วนตัว?. แต่หากยังเอื่อย ไม่พร้อมก็รอรับชะตากรรมได้ ผมขอบอกให้ปี 2563 คนไทยรอตกงาน 600,000 คน รู้เรื่องแน่นอน.

แต่ในทุกวิกฤติ มีโอกาส มองดีๆ ก็จะพบว่ายังพอมีหนทางอยู่รอดได้. ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ช่วยกัน และกล้าลงมือทำกันเถอะครับ ...”

โปดฟังผมวิเคราะห์บ้าง

มองในมุมกว้าง เหมือนมอง 'เหตุการณ์' (ประเทศไทย) ผ่านเลนส์มุมกว้าง (wide lens), จะเห็นว่า มีหลายปัจจัย เป็นองคาพยพ ที่จะเป็นเหตุ ทำให้ประเทศไทย สังคมไทย คนไทย เปลี่ยนไป อย่างไร.

แต่ถ้ามองในมุมแคบๆ ในห้วงเวลาหนึ่ง ในสถานที่หนึ่ง แล้วเหตุการณ์ ที่เห็น เป็นไปในมุมลบ ไม่ถูกใจ ไม่เป็นไปตามที่คาด ก็จะรู้สึกไม่สบายใจ ตกใจ เป็นกังวล อาจถึงกับ ฟุ้งซ่าน คิดปรุงแต่ง โน่น นั่น นี่ เป็นตุเป็นตะ.

มองในมุมกว้าง ภายใต้ มโนทัศน์สัมพัทธภาพ ก็จะมองเห็นความจริง สิ่งที่มัน "ควรจะเป็น"

ประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่เคยโกหก (มีแต่ คนเขียน นั่นแหละ โกหก ในบางยุค). เรามีพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวม ในการแก้ปัญหาวิกฤต ในยาม 'ข้าวยากหมากแพง' เรามีพระเจ้าอยู่หัว ออกไปช่วยเหลือ แนะนำ ให้ประชาชน เอาชนะภัยพิบัติเหล่านั้น จนรอดมาได้.

ในสมัย ทักษิณ เรืองอำนาจ กำลังจะขายประเทศ อยู่มะรอมมะล่อ, แต่ก็มีกลุ่มคนดี คนรักชาติ รักแผ่นดิน ลุกขึ้นมาสู้ และขับไล่ทรราชทักษิณ และทายาท ออกไปจากประเทศไทย ได้สำเร็จ จากนั้น ก็มีผู้นำ ที่คิดจะปฏิรูปประเทศ เพื่อนำพาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ติดต่อกันมาอย่างยาวนาน ให้ดีขึ้ส และบรรเทาความทุกข์ยาก ของคนไทย ให้ยอมรับและผ่านมันไปให้ได้.

หลายทศวรรษ ที่ผ่านมา, ประเทศไทย ประสบภาวะ 'ผีซ้ำ ด้ำพลอย' รอบด้าน, มีนักการเมือง ที่เห็นแก่ตัว, นักปลุกปั่น ยุยง ป่วนเมือง, พ่อค้านายทุน ที่เอาเปรียบ, นักบวชอลัชชี มีอำนาจ, ข้าราชการ ขี้โกง-เกียร์ว่าง, ตำรวจ หัวแตงโม พุงโต ก้นปอด, ฯลฯ

สารพัด คนชาติเลว ที่คอยแซะ แกะ กินโกง เผา ผลาญ ทำลาย ความสงบสุข อยู่ตลอดเวลา.

แต่ 'พลัง' ของคนไทย ที่มากด้วยน้ำใจ ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เอื้อเฟื้อ หวังดี คิดดี มองในมุมบวก ได้กลายเป็นพลังเงียบ ช่วยผลักดัน ประคับประคอง ให้ประเทศไทย สังคมไทย อยู่รอด เป็นสังคมของคนดี มีน้ำใจ น่าอยู่ น่าอาศัย ชนิดที่ต่างชาติต่างรู้สึก ริษยา เลยละ (ถ้าเขาริษยาจริง).

ปกติ คนไทย ใจกว้าง ไม่เลือกที่จะคบกับคนต่างชาติ ต่างศาสนา. พุทธ คริสต์ อิสลาม คือพี่น้องกัน. แต่ว่า มันมีพวกวายร้าย คิดร้าย และสูญเสียผลประโยชน์ จากพฤติการ 'กอบโกง' ของตน คอยปลุกปั่น สร้างกระแส ให้เกิดการเกลียดชัง โดยอาศัยความศรัทธาทางศาสนาบ้าง ภาพพจน์การก่อการร้ายบ้าง ภาพลักษณ์ความรุนแรงบ้าง มาเป็นเครื่องมือ ในการป่วนบ้านป่วนเมือง.

แน่นอนว่า ย่อมมีคนปัญญาอ่อน บางกลุ่มบางคน ทั้งที่มีสถานะเป็นทั้งชาวบ้าน นักบวช นักวิชาการ นักการเมือง นักกิจกรรมเพื่อชีวิต ออกมาแสดงความ 'ตื่นตูม' โดยตั้งใจบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง ดังที่เป็นข่าวในสื่ออนไลน์. เป็นการผสมโรงให้บ้านเมือง ที่กำลังจะสงบสุข ให้มันดูวุ่นวาย. นัยว่า ให้มีผลกระทบ การทำงานของรัฐบาล.

ขอพูดถึงเรื่องรอยแยก พุทธ-อิสลาม เป็นของแถม สักหน่อยเถอะ. เพราะมันเกิดเป็นประเด็น คล้ายๆ กับ การเสี้ยมคนไทยให้กลียดคนจีน โดยพวกนิยมลัทธิทุนนิยมตะวันตก.

ในรอบสิบปี ที่นักแสดงเหล่านั้น ออกมาแสดง อาการตื่นตูม โดยผูกโยงศาสนา สร้างความแตกแยก ระหว่างพุทธ กับอิสลาม เท่านั้น. ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว คนไทยพุทธส่วนใหญ่ ถูกพราหมณ์ ไสยศาสตร์ อลัชชี กลืนกินไปเกือบหมดตัวแล้ว ไม่เห็นคนพวกนี้ พูดถึงเลย.

นักแสดงเหล่านี้ ล้วนพัวพันกับทักษิณ-วัดพระธรรมกาย ทั้งสิ้น. เรียกว่า เป็นสูตรสำเร็จ หากพวกนี้อ้าปากพูดยุแหย่ทีไร ก็รู้ทันทีว่า ไม่ใช่ใครอื่น. พวกมันนี่แหละ.

โปรดสังเกต วาทะกรรม ของคนพวกนี้ ที่ใช้กัน เช่น
-หูตาสว่างได้แล้ว ชาวพุทธเอ๋ย!
-อย่าปล่อยให้อิสลาม กลืนกินพุทธ
-สนช. นายกรัฐมนตรี รมต. ส.ว. เป็นอิสลาม
-เขารู้กันหมดแล้ว แต่ปิดข่าว
-ฯลฯ

ไม่ใช่แค่คนจีน หรือแขกอินเดียหรอกครับ ที่หลงใหล อยากทำมาหากินในประเทศไทย. คนยุโรป คนอเมกันก็ใช่ย่อย ถ้ายึดด้วยกำลังตรงๆ ทื่อๆ ได้ มันทำไปแล้ว. ไทยต้องสูญเสียแผ่นดินในอดีต ตั้งมากมาย เพื่อรักษาใจกลางอู่ข้าวอู่น้ำไว้ ไทยจึงยอมเสียดินแดนบางส่วนไป ทำนอง "เสียอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต" ยังไงยังงั้น. ก็เพราะพระปรีชาสามารถ ของพระมหากษัตริย์ไทย ประวัติศาสตร์หน้านี้ คนไทยไม่น่าลืม.

มาในยุคนี้ ยุคไวรัสระบาด เป็นยุคที่คนไทย อยู่ระหว่าง "เปลี่ยนผ่าน" ทั้งอุปนิสัย ความเชื่อ และพฤติกรรม ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ จนทำให้คนไทยบางคนบางกลุ่ม ตกอกตกใจ ว่าคนไทยแย่แล้ว.

ผมเชื่อว่า นิสัยคนไทย "ไฟไม่จี้ตูด ไม่ลุกวิ่ง"

คราวนี้ เราจะเห็น คนไทยสามัคคีกัน เอาชนะอุปสรรค ความกลัว ไปจนได้แหละน่า. คนที่อ่อนแอ ก็จะได้รับบทเรียน แล้วเปลี่ยน ส่วนคนที่แข็งแรง ก็จะเอาตัวรอดได้. ส่วนคนขี้โกง ริษยา ก็จะถูกรุมกระทืบ เพราะความชั่วเลว มันจะแพร่กระจายในสื่อออนไลน์ อย่างสกัดไม่อยู่.

ดี ก็ให้กำลังใจกัน. ไม่ดี ก็ติติงเตือนกัน. อย่าทำตัวเป็นเกษตรกร ขยันออกไร่ ออกนา ในช่วงที่ คนเลว เที่ยวเดินเพ่นพ่าน ในสังคม อยู่เลย.

สังคมเลว ไม่ใช่เพราะคนเลว แต่ เพราะคนดีท้อแท้. สังคมดี เพราะคนดี ทำหน้าที่ แทนคนเลว. เป็นกำลังใจ ให้คนดี ทำดี เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน ครับ.

"วินัย" ทำให้คน งามสง่า
"วิชชา" ทำให้คน กล้าหาญ
"วิจารณญาณ" ทำให้คน ฉลาดชัด
"วิสัยทัศน์" ทำให้คน มองไกล ไล่ตามทันโลก.

(อินทรวิเชียรฉันท์ โดย ดิน หิน ฟ้า - 3 มีนาคม 2561)

ชาติชน สง่าไซร้ 
เพราะวินัย สถิตย์ฐาน
หาญกล้า อลังการ
เพราะวิชา ประจักษ์ชัด

ชนชาติ ฉลาดเพศ
ปฏิเสธ ตระบัดสัตย์
มองไกล วิสัยทัศน์
ก็ขจัด วิบัติการณ์.

ปรุง สีงา
2 ก.ค. 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
เงินกู้ หรือกู้เงิน ไม่ใช่ทางออก ของปัญหา แต่เป็นวิธีการ ที่จะต่อสายพาน ให้ประเทศขับเคลื่อนได้ต่อไป.

โดย ปรุง สีงา

จากการที่มีผู้โพสต์ข้อความ ในทำนองไม่เห็นด้วยกับนโยบาย กู้เงิน สามแสนล้าน ของพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี นำมาให้อ่านอีกครั้ง ... ใจความว่า -

“... พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 63 ถ้าผ่านสภา เป็นงบประมาณรายจ่ายจำนวน 3.3 ล้านล้านบาท เรียกได้ว่า รัฐบาลประยุทธ์ทำ new high งบประมาณทุกปี เป็นรัฐบาลที่ใช้งบประมาณสูงที่สุดในประวัติศาสตร์อีกครั้ง. ซึ่งเรื่องนั้นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร แต่เรื่องที่เป็นปัญหา และน่าเป็นห่วง ก็คือ สถานะทางการคลังของประเทศ ว่าตอนนี้เป็นอย่างไร

ถ้าเปรียบประเทศเป็นครอบครัว สถานะของครอบครัวประเทศไทย ที่มีประยุทธ์เป็นหัวหน้าครอบครัว และเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่หาเงินไม่พอใช้มา 6 ปีเต็มแล้ว ตอนนี้ฐานะของครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ครอบครัวประเทศไทย ที่มีประยุทธ์เป็นหัวหน้า มีหนี้สินที่รัฐบาลเป็นคนกู้โดยตรง และไปค้ำประกันเป็นหนี้ ร่วมอยู่ทั้งสิ้น 7.1 ล้านล้านบาท โดยหนี้ที่กู้มาโดยตรงนั้น เป็นหนี้ที่กู้มาใช้จ่าย เพราะหาเงินได้ไม่พอใช้ ตั้งแต่เป็นรัฐบาลมารวมกันถึง 2.168 ล้านล้านบาท

ถ้าเป็นครอบครัว ก็คือหัวหน้าครอบครัว แบบประยุทธ์หาเงินได้ไม่พอกับรายจ่าย ต้องไปหยิบยืมญาติพี่น้อง กดบัตรเงินสด กดบัตรเครดิตมาใช้จ่ายรวมกัน 6 ปี รวมทั้งสิ้นแล้ว 2.168 ล้านล้านบาท พอมาถึงปีนี้ ประยุทธ์วางแผนการใช้เงินของครอบครัวประเทศไทยว่า จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ทั้งหมด 3.3 ล้านล้านบาท โดยมีรายจ่ายเพิ่มมาจากปีที่แล้วจำนวน 1 แสนล้านบาท. แต่ประยุทธ์คาดว่า รัฐบาลจะหาเงินได้ หรือ มีรายได้แค่ 2.677 ล้านล้านบาท

นั่นคือ ปีนี้หัวหน้าครอบครัวหาเงินไม่พอใช้อีกแล้ว ต้องได้กู้เงินมากิน ต้องได้วิ่งหาหยิบยืม ต้องกดบัตรเงินสดเสียดอกเบี้ยมาใช้อีกเบ็ดเสร็จ 6 แสนกว่าล้าน โดยเงินที่หามาได้และรวมที่กู้มาจ่าย รัฐบาลประยุทธ์เอาไปทำอะไรบ้าง เงิน 3.3 ล้านล้านบาท, ประยุทธ์ต้องเอาไปจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายประจำ อย่างค่าจ้าง เงินเดือนข้าราชการ และอื่นๆที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำเป็นจำนวนถึง 2.526 ล้านล้านบาท

นั่นคือเหมือนเงินที่หาได้ เอามาจ่ายเป็นค่าพนักงานหมดนั่นแหละ ถ้าเป็นบริษัท เป็นครอบครัว แล้วจ่ายเงินลงทุน 6 แสนล้านกว่า และต้องจ่ายหนี้เก่า ที่กู้ทับถมมา โดยจ่ายได้แค่ 99,000ล้านบาท หรือ 3% ของงบประมาณ. แล้วปีนี้ดันซวยว่า มีโรคระบาด เหมือนมีคนในครอบครัวเจ็บป่วย ต้องได้กู้เงินมารักษา มาช่วยที่ขาดรายได้ อีกตั้ง 1 ล้านล้านบาท

สถานะของประเทศ ของครอบครัว ที่รายได้ไม่พอจ่าย แต่ก่อหนี้เพิ่มแบบนี้ทุกปี ถ้าเป็นครอบครัวท่านจะนอนหลับมั้ย! เท่านั้นยังไม่พอ ประมาณการรายได้ของรัฐบาลประยุทธ์ที่บอกว่า จะหาเงินได้ 2.6 ล้านล้าน คือการคาดการณ์รายได้จากปัจจัยที่ว่า เศรษฐกิจของประเทศจะโตที่ 5% แต่ตอนนี้ถ้าตามข่าว ท่านจะเห็นว่า สถาบันต่างๆต่างคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะติดลบถึง 8 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ นั่นคือรายได้จะลดลงจากที่คาด แต่รายจ่ายยังคงเดิม ผลที่จะตามมาก็คือต้องกู้เพิ่ม ในขณะที่ต้องก่อหนี้เพิ่ม แต่ความสามารถในการชำระหนี้มันอยู่ที่ แค่ 3%เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณ เพราะถ้าจ่ายมากกว่านี้ ผลที่ตามมาก็คือมันจะไปกระทบงบประมาณส่วนอื่น

ที่หลอกกองเชียร์ หลอกสาวกว่า ต้องไปใช้หนี้จำนำข้าว ก็คือไม่จริง เพราะลำพังเงินที่รัฐบาลประยุทธ์กู้เองก็จ่ายได้แค่ปีละ 4-5 หมื่นล้าน แต่ตัวเองกู้เองก็ปีละ 4-5 แสนล้านทุกปี แล้วที่ประยุทธ์ก่อหนี้ถ้ารวมปีนี้เข้าไปอีก ก็จะเกือบ 5 ล้านล้าน แต่จ่ายได้ปีละ 9 หมื่น ลองคิดดูว่า กี่ปีหนี้ถึงจะหมด

ปัญหามันไม่ได้มีอยู่เพียงแค่นั้น เพราะพอเงินไม่พอใช้ หัวหน้าครอบครัวแบบประยุทธ์ก็ไปยืม ไปกดบัตรเงินสด กดเงินบัตรเครดิตมา จนปีนี้กดจนเกือบเต็มวงเงินที่เขากำหนดไว้ คือ 60 เปอร์เซ็นต์ของ GDP. พูดง่ายๆว่า ประยุทธ์กดจนจะเต็มวงเงินแล้ว

แต่ที่หนักหนาและน่าเป็นห่วงกว่านั้นก็คือ เครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนประเทศ และเป็นแหล่งรายได้สำคัญตอนนี้ดับสนิททั้ง 4 เครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุน และการบริโภคภายในประเทศเอง ซึ่งสาเหตุการดับของเครื่องยนต์เศรษฐกิจ เป็นผลทั้งจากฝีมือประยุทธ์ และมีโควิดมาซ้ำ

ลองนึกภาพของประเทศ ที่เหมือนครอบครัวที่มีรายจ่ายที่ต้องจ่าย มีหนี้ที่ต้องใช้ แต่รายได้ลด และช่องทางหารายได้ก็ตีบตัน และเครดิตที่มีก็ใช้จนเต็มวงเงินแล้ว ทางรอดของครอบครัว หรือประเทศที่มีสถานการณ์แบบนี้ จะต้องทำอย่างไร ที่สำคัญกว่าทุกปัญหาคือ มีหัวหน้าครอบครัวที่ไร้สามารถ แต่ขี้โมโห หงุดหงิด ปากพล่อย เบาปัญญา ถือปืนโวยวายอยู่หน้าบ้าน จนคนอื่นเขาขาดความเชื่อมั่นที่จะมาค้าขายด้วย ...”

ท้ายสุด ของบทวิจารณ์ โยนคำถาม แบบไม่ต้องการคำตอบว่า
"ลองนึกดูว่า สุดท้ายจะจบแบบไหน?"

ผมนึกดูแล้วครับ ... มันมีทางออก มันจะจบแบบไหน ตอบได้ไม่ยาก (แม้ผู้ถาม จะไม่ต้องการคำตอบก็ตาม).

ถ้ามองบริบท และประวัติศาสตร์ของไทย ให้รอบด้าน ตามแนวมโนทัศน์สัมพัทธภาพ ดังนี้.

เศรษกิจแบบทุนนิยม, วัฒนธรรมแบบบริโภคนิยม. การเลือกตั้ง แบบประชาธิปไตย พวกมากลากไป, คนไทยส่วนใหญ่ ไร้วินัย ในการกิน การใช้เงิน ไร้วินับจราจร, จัดการศึกษา แบบรวมศูนย์ ใต้แนวคิด นโยบาย "เพื่อเอกภาพการศึกษา" ของกระทรวงศึกษาธิการ.

ต่อให้ ร้อยรัฐบาลที่ว่า ดี ถูกใจ ก็แก้ไขไม่ได้หรอกครับ.

ขอเพียงประชาชน เชื่อมั่นในวิถี "ความพอเพียง" ตามแนวทาง ศาสตร์พระราชา, สูตร 30 - 30 - 30 - 10 ที่พ่อหลวงให้ไว้. เท่านี้ ก็ไปรอดแล้ว. แต่ จะมีใครสักกี่คน ที่สนใจทำตาม.

ถ้าทำตามนี้, ต่อให้โลกเลวร้ายอย่างไร ไวรัสระบาดแต่ไหน GDP จะตกต่ำอย่างไร ใครจะร่วม ไม่ร่วม CPTPP หรือไม่ ก็ชั่งหัวมันปะไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญ.

ว่าก็ว่าเถอะ รัฐบาลอเมกัน นั่นแหละ ที่ทำ new high เป็นประเทศที่มีหนี้สินสูงที่สุดในโลก ที่ยังอยู่ได้ก็เพราะ ปั๊มพ์เงินดอลลาร์ได้ เลี้ยงตัวเอง. จะว่าไป ไวรัสโควิด พ่นพิษ ก็เริ่มมองเห็นเค้าลาง อเมกันเจ๊ง ก็คราวนี้แหละครับท่าน. เพียงแต่ว่า มันจะเจ๊งด้านไหนก่อน เท่านั้นเอง.

ศาสตร์พระราชา -
มีนักการเมืองกี่คน ที่จะเหล่ตาไปมอง
มีคนไทยสักกี่คน ที่ยอมจะเข้าถึง
มีนักบวชสักกี่รูป ที่จะเผยแผ่
มีครูสักกี่คน ที่เข้าใจ

ป่วยกล่าวไปไย กับนักธุรกิจ ย่อมเป็นปฏิปักษ์ กับศาสตร์พระราชา เป็นธรรมดา. เขาก็จะเห็นแต่ด้านดี ด้านเอาประโยชน์ จากการ 'ได้เปรียบ.' และเมื่อตน ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบบ้าง ก็โวยวาย หาเรื่องด่า โน่น นั่น นี่ เหมือนวัวควาย ไล่ขวิดดะไปเรื่อย. โดยไม่แคร์ว่า ประชาชนตาดำๆ ถูกเอาเปรียบเป็น "เหยื่อ" บ้าง กลับเงียบกริ๊บ!!

ปิดปากชาวบ้าน และร่ายมนตราต่อ หลอกให้ เสพ สูบ สิ่งที่เป็นเหมือนกับดัก ล่อเอาไว้. สนุก สุข หอม หวาน เย้ายวนใจ. ชาวบ้านที่ไหน จะไม่ชอบ!

แล้วเช่นนี้ คิดดูเถิดว่า ชาวบ้านจะ ดูใคร ฟังใคร สนใจใคร เชื่อใคร มากกว่า. ระหว่าง 'ศาสตร์พระราชา' กับ 'มนตราของทุนนิยม-บริโภคนิยม.' นี่แหละ ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก!! และกินกันจนเพลินพอ โควิด-19 มาเป็นกรรมการ บนเวทีบ้าง กลับโวยวาย.

จะมองประเทศ มองคน หรือมองอะไร ก็ควรทอดสายตา ออกไปให้ไกลๆ หน่อย. อย่ามองแค่ตาตุ่ม. ประเดี๋ยวคนเขาจะหาว่า ปัญญาแค่หางอึ่ง หรือไม่ก็รับจ้างมาด่า.

อย่าไปกล่าวหา หรือโทษ พลเอกประยุทธ์ อยู่เลย. ไม่ว่าใครจะมาเป็นนายก ก็จะทำแบบเดียวกัน เผลอๆ นะ อาจกู้หนักกว่าเก่า.

โชคดีเท่าไรแล้ว ที่คนไทยขับไล่ระบอบทักษิณออกไป. ไม่อย่างนั้น มันคงขายประเทศไปจนหมดตูด ไม่เหลืออะไร ไว้ให้ลูกหลานไทย เหมือนอย่างทุกวันนี้หรอก. ทำอะไรไม่ได้ ก็ควรให้กำลังใจ คนดีทำงาน อย่าแขวะ อย่าหาเรื่องด่า โดยจิตริษยา.

คนบางคน คนบางกลุ่ม ชอบทำตัวเป็น "กบเลือกนาย" ไม่ถูกใจ ก็ด่า ถูกใจ ก็เลีย. จะหาพระอริยะ มาเป็นนายกน่ะหรือ เมินเสียเถอะ คอยอีกหมื่นชาติโน่นแหละ!!

ปรุง สีงา
29 มิ.ย. 2563

หมายเหตุ-

(1) สูตร 30-30-30-10 หมายถึง การแบ่งสัดส่วน ที่ดินของตนเอง จาก 100% ออกเป็น เก็บน้ำ (ขุดบ่อ) 30% ปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชผัก 30% ทำนา 30% อีก 10% ที่เหลือ เป็นที่อยู่อาศัย.

(2) CPTPP คือ แผนแหกตา หรือกับดัก ที่อเมกันวางล่อไว้ เพื่อร่วมกันกีดกัน ความเจริญเติบโต ของคู่แข่งอเมกัน (จีน รัฐเซีย) CPTPP (Comprehensive and Progressive Trans-pacific Partnership) แปลว่า ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก โดยเป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก.

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ-วิเคราะห์:
ระวัง! การสร้างข่าวเท็จซ้ำซาก บนความรู้สึกอ่อนไหว ของประชาชน.

โดย สู่ดิน ชาวหินฟ้า

ทางวิชาการ มีความสำคัญไม่ต่างกัน. เพราะมันคือ 'ชิ้นส่วน' ของ หลักเหตุผล ที่มนุษย์พึงมี. ถ้าชิ้นส่วนเหล่านี้ เป็นของปลอม หรือชำรุด ก็จะทำให้ เหตุผลของมนุษย์ พลอยบิดเบี้ยวไปด้วย. อันนี้ สำคัญนะครับ โปรดอย่ามองข้าม.

เสพสื่อ ต้องรู้เบื้องหลังของข้อมูล ให้ดีเสียก่อน ก่อนเชื่อ ก่อนแชร์. ข้อสังเกต, ถ้าเห็นอะไรแปลกประหลาด ให้ยับยั้งชั่งใจ พิจารณา อย่าเห็นแก่สนุก เอามันส์ ในการแชร์ต่อ เพื่อหลอกคนอื่น. เพราะเป็นการส่งเสริม ความโง่ ให้แก่คนไทยด้วยกันเอง และพัฒนาไปไม่ถึง การเป็นชาติมหาอำนาจ.

กรณีข่าว มนุษย์ยักษ์ โผล่ที่ จ.กระบี่ มันเก่าแล้ว ตั้งแต่ปี 2018 แล้วยังมีคนเอามา "ปั่น" ต่อ โดยไม่ทราบสาเหตุ, มีข้อที่ต้องฉุกคิด ดังนี้

(1) ให้เชื่อไว้ก่อนว่า ไม่จริง แล้วไปฟังสื่อช่องอื่น ที่พูดเรื่องเดียวกัน ... มนุษย์ยักษ์, สื่อหลายช่อง (สื่อออนไลน์) พูดไปในแนวเดียวกัน ทำให้เข้าใจว่า จริง! ... สื่อเอง ก็เชื่อไม่ได้เหมือนกัน.

(2) จะต้องมีการรับรอง หรือรายงานรองรับ ที่น่าเชื่อถือ ทางวิชาการ เกี่ยวกับเรื่องที่ออกข่าวไปแล้ว ... ถ้าไม่มี เชื่อได้เลยว่า ข่าวนั้น เท็จ

(3) เรื่องที่ประหลาดมากๆ สื่อหลัก ต้องนำเสนอนานเป็นสัปดาห์ หรือหลายสัปดาห์.

(4) มนุษย์ยักษ์ ถ้ามีจริง มันขัดแย้งกับหลัก บรรพชีวินวิทยาอย่างมาก ที่นักวิทยาศาสตร์ เคยค้นพบวิวัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งเริ่มจาก กะโหลก ที่มีขนาดเล็กคล้ายลิง ไม่ใช่ใหญ่โต ตามที่เห็น.

อีกประการหนึ่ง, สภาพโครงกระดูก ใครๆ ดูก็รู้ว่า สัดส่วน เหมือน โครงกระดูกมนุษย์ยุคปัจจุบันมาก และสภาพใหม่ ไร้รอยปริแตก ทั้งๆ ที่ผ่านกาลเวลามานานเป็นล้านปี หรือหมื่นปี.

ถ้าศิลปิน ฉลาดขึ้นอีกสักหน่อย (ผมไม่ได้บอกว่า ศิลปินโง่ นะครับ) จัด ตกแต่ง สภาพกระดูก ให้ดูสมจริง กับช่วงอายุล้านปี หรือหมื่นปี จะทำให้น่าเชื่อยิ่งกว่านี้. แม้แต่ผมเอง ที่เห็นครั้งแรก ก็ผิดสังเกตแล้ว.

กรณีการสร้าง หลักฐานปลอม ทางบรรพชีวินวิทยา ในต่างประเทศ เขาก็ทำกันมาแล้ว คนทำเขาเก่งมากๆ สามารถหลอกนักวิทยาศาสตร์ นานหลายปี. แต่ในที่สุด ก็มีคนเก่งกว่า จับพิรุธได้.

สำหรับคนไทย ที่มีพื้นฐานความเชื่อ ประเภทไสยศาสตร์ มหัศจรรย์ เป็นทุนอยู่แล้ว ก็จะรู้สึกอ่อนไหว เชื่อว่าสิ่งนั้น จริง แล้วก็จินตนาการ ผสมผเสไปตามความเชื่อ ในนิยายปรัมปรา.

ปรากฏการณ์แบบนี้ ผู้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน ต้องให้ความสำคัญ อย่าทำตัวเป็น "กระต่ายตื่นตูม" เสียเอง เป็นการเพิ่มความงมงาย ให้แก่ประชาชน.

อย่าเห็นแก่ประโยชน์ (เงิน, ค่าตอบแทน) เอาสิ่งงมงาย ไปแลกกับ การได้ข่าวใหญ่. มันผิดจรรยาบรรณ. ขอเตือนไว้ ณ ตรงนี้.

สู่ดิน ชาวหินฟ้า
17 มิ.ย. 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
ทางออกสำหรับมนุษย์ "สายหื่น" อยู่ที่ บทลงโทษเบาไป หรือ ควรเปิดให้เสรีทางเพศ.

โดย ปรุง สีงา

กรณีมีบุคคลที่มีชื่อเสียงทางสังคม ออกมาแสดงความเห็นว่า ทำไมบทลงโทษคน "สายหื่น" เบาไปหรือไม่ จึงทำให้คดีละเมิดทางเพศ เช่น ข่มขืน ฆ่า อนาจาร ไม่ลดลง แต่กลับรุนแรง และเพิ่มปริมาณคดีมากขึ้น, กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องลึก สำหรับสังคมบริโภคนิยม แบบไทยๆ.

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า วิถีชีวิตของคนไทย ตกอยู่ภายใต้เศรษฐกิจสองกระแส คือ กระแสทุนนิยม-บริโภคนิยม (mass consumption) และ กระแสการพึ่งตน บนความพอเพียง (fair consumption). ระบบเศรษฐกิจสองกระแสดังกล่าว ขับเคี่ยว สู้กันมาตลอด. แน่นอนว่า หากระบบการพึ่งตนบนความพอเพียง ไม่แข็งแกร่งพอ ก็จะถูกพลังอำนาจจากฝ่ายบริโภคนิยม กลืนกิน. แต่สำหรับประเทศไทย ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน, ได้กลายเป็นวัฒนธรรมพื้นฐาน ที่มีการผูกพันทางใจ (ความจงรักภักดี) ระหว่างพระเจ้าอยู่หัว และราษฎร ซึ่งปรากฏประจักษ์แจ้งแก่คนไทย และชาวต่างชาติ นั่นคือ วัฒนธรรมการสงเคราะห์ และวัฒนธรรมการแบ่งปัน.

แต่กระแสทุนนิยม-บริโภคนิยม ก็ไม่ลดละ พยายามครอบงำคนไทย ทั้งประเทศ, แม้ว่าคนไทยทุกอาชีพ ทุกวัย ทุกเพศ ไม่อาจหลุดรอดการตกเป็นเหยื่อ ของกระแส 'เงิน' และ 'งาน' (เงิน งาน บันดาลสุข) ให้เป็นคนเห็นแก่ตัว เอาเปรียบคนอื่น. แต่ก็ได้รับการถ่ายทอด ความมีเมตตา กรุณา น้ำใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จากคำสอนในพุทธศาสนาบ้าง จากพระราชดำรัส ของพระเจ้าอยู่หัวบ้าง จากพระสงฆ์สาวกบ้าง จากปราชญ์ผู้รู้บ้าง. ทำให้พฤติกรรมของคนไทย ที่ว่าร้ายๆ ก็เบาบางลง มีการยับยั้งชั่งใจได้บ้างบางส่วน แม้ว่าจะเล็กน้อย ในบางกาละ ในบางเทศะ ก็ตาม. หากมีใครสักคน ก่อเหตุสร้างความเดือดร้อน แก่คนในวงกว้าง ก็มักจะมีคนอื่นๆ ออกมาแสดงความเห็นใจ ต่อผู้ได้รับเคราะห์ หรือได้รับความเสียหาย. มีหลายกรณี ถึงกับออกแรงช่วยเหลือทรัพย์บ้าง เงินทองบ้าง ตามแต่จิตเมตตาที่เขามี.

ทุกคน ต่างก็มีกิเลสเป็นต้นทุน, ต้นทุนกิเลสของแต่ละคน ก็ไม่เท่ากัน. กิเลสมันแสดงออกได้ทั้งในทางบวก และทางลบ. ในทางบวก ก็จะแสดงผลออกไปในทางดี ช่วยให้ตัวเองอยู่รอด และแปลงเป็น ความปรารถนาดี แก่คนรอบข้าง, ส่วนกิเลสในทางลบ ก็จะแสดงฤทธิ์ ไปในทางเลว ชั่ว เพื่อตอบสนองตัณหาราคะของตัวเอง.

ตราบใด ที่ยังไม่มีวิธีกำจัด หรือทำให้กิเลสในทางลบของมนุษย์ เบาบางลง พวกเขาเหล่านั้น ก็จะสร้างปัญหาอุปสรรค ให้แก่คนในสังคม ไม่หยุดหย่อน. แม้จะกำหนดบทลงโทษ ให้รุนแรงปานใดก็ตาม. เพราะขณะทำผิด ไม่มีสิ่งใด ที่จะควบคุมพวกเขาไว้ได้.

มันก็แปลกดีนะ, เวลาทำผิด คนทำผิดก็ไม่ได้นึกถึงว่า สิ่งที่ตนกระทำลงไปนั้น 'เป็นธรรม' หรือยุติธรรม แก่ผู้เสียหายหรือไม่. แต่พอจะถูกลงโทษ กลับไปสรรหา 'ความยุติธรรม' ให้แก่คนร้าย ว่าควรจะได้รับโทษโน่น นั่น นี่ เท่านั้น เท่านี้. กรณีนี้ ถ้าเป็นกฏหมายโบราณ (ปัจจุบัน บางประเทศใช้อยู่) มือไหนขโมย ก็ตัดมือข้างนั้น, ฆ่าตัดคอ ก็จะถูกตัดคอให้ตายตกตามกันไป, เมาแล้วยังนั่งรถขับขี่ไป ก็เฆี่ยนตีที่ก้น, ข่มขืนซ้ำซาก ก็ตัดอวัยวะเพศ หรือไม่ก็ฉีดให้ฝ่อ ฯลฯ.

ในสายตาของพวกลัทธิสิทธิมนุษยชน เช่น Amnasty, Human Right Watch ก็จะบอกว่า ไม่เป็นธรรม โหดเหี้ยมเกินไป แต่ในสายตา ของผู้ได้รับความเสียหาย มันก็สมควรได้รับโทษอย่างเท่าเทียม. แต่ถ้ามองด้วยทฤษฎี มโนทัศน์สัมพัทธภาพ การลงโทษผู้กระทำผิด ในต่างสถานที่ (ที่ก่อเหตุ) ต่างกาลเวลา (อดีต) ย่อมทำให้ ความรับรู้ ผิดชอบ ชั่วดี และความแค้นเคือง ทั้งฝ่ายผู้กระทำผิด ฝ่ายผู้เคราะห์ร้าย และฝ่ายผู้ลงโทษ เปลี่ยนไป. แม้ตัวบทกฎหมาย ก็กำหนดช่วงระยะห่าง ของโทษทัณฑ์ ไว้ไม่เท่ากัน.

ทำให้เกิดความรู้สึกว่า "ความยุติธรรม (ตัดสินคดี) ที่เชื่องช้า ก็คือ ความอยุติธรรม นั่นเอง."

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563 นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ เต้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไข ปัญหาข่มขืนกระทำชำเรา และล่วงละเมิดทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร
เสนอ แก้ปัญหาการข่มขืน ด้วยการทำให้สถานบริการทางเพศ และร้านเซ็กซ์ทอย ให้ถูกกฎหมาย เหมือนประเทศเสรีทางเซกส์ ซึ่งเป็นการลดปัญหาการคอรัปชั่น และรัฐก็จะได้เงินภาษีเป็นรายได้เข้ารัฐอีกทางหนึ่งด้วย.

ช่างกล้านะ! เต้ มงคลกิตติ์, เต้ ... คิดอะไรเห่ยๆ ออกไปแล้ว คิดใหม่ได้นะ.
ปัญหาทางเพศ มันแก้ไม่ได้หรอก แบบที่เสนอมา, ตราบใดที่ มนุษย์ยังมีกิเลส ตามที่บอกเหตุผลไปข้างต้นแล้ว. เต้ เอ๋ย อย่าไปคิดแทน คนที่กระหายอยาก ทางเพศเลย. อำนาจกิเลสราคะของคน ไม่สามารถป้องกันไม่ได้หรอก, มันมี มันเป็น ของมันเช่นนั้น ตามสันดานมนุษย์. เมื่อมันก่อปัญหา ก็ต้องตามแก้กันไป แบบนี้แหละ ดีแล้ว เป็นธรรมชาติแบบไทยๆ, ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ และรัฐบาล ที่จะใช้มาตรการอื่น แต่อย่าเปิดช่อง ให้คนแสดง แถลงอำนาจกิเลส อย่างออกนอกหน้า แบบที่เต้คิด. ขนาดปิดๆ บังๆ ซ่อนๆ ก็ยังเอาไม่อยู่เลย, ถ้าเปิดเสรีแบบ เต้ แนะนำนะ มันก็จะยิ่งไปกันใหญ่

เพราะอะไรหรือ?

ก็เพราะ

(1) ระบบตำรวจไทย ยังไม่พร้อมที่จะรับปัญหา ที่ซับซ้อนขึ้น หลังเปิดเสรีทางเพศ.

(2) เยาวชนไทย ยังไม่มีภูมิคุ้มกันพอ ที่ถ่วงดุล สู้กับอำนาจยั่วยุ ที่มันพุ่งเข้าหาอย่างเสรี ไร้การทัดทาน

(3) รัฐบาล ยังไม่มีเอกภาพพอ หรือมีมาตรการเข้มพอ ที่จะกำหนดเขตเซ็กซ์เสรี ให้เป็นเขตเฉพาะ ไม่ลุกลามไปยังสถานศึกษา วัด และชุมชน

(4) นักการเมือง จะอาศัยเป็นช่องทางในการทุจริต และสร้างอิทธิพล เจ้าพ่อในวงการ และ

(5) มันจะลุกลาม ให้เกิดการเรียกร้อง บ่อนเสรี กะหรี่เสรี, มันดีนักหรือ สำหรับประเทศไทย. แน่นอน มันดีสำหรับ ผู้แสวงประโยชน์บน "เหยื่อ" มนุษย์ แต่มันเลวร้าย สำหรับชาวพุทธ ที่ยังสันติและความสงบสุข.

เหตุผล 5 ข้อ เพียงพอรึยัง ที่จะบอกว่า ข้อเสนอของ เต้ มงคลกิตติ์ เป็นความคิดตื้นเขิน ไร้มโนทัศน์สัมพัทธภาพ ไม่สมศักดิ์ศรีกับการเป็น ส.ส.เลย ถอนข้อเสนอของคุณ ออกเสียเถอะ เพื่อความสง่างาม.

จิตมนุษย์ สุดหยั่ง ยังไม่รู้
ลึกสุดกู่ อยู่ไหน ใครเล่าเห็น
ก้อนกิเลส ก็มากมาย หลายประเด็น
กระซ่านเซ็น เหมือนเห็บ รุมขย้ำ

จะปิดกั้น การกระหาย สลายกิเลส
จะอ้างเหตุ ให้มันเสพ จนอิ่มหนำ
จะหวังให้ กำพืด ของมืดดำ
หยุดก่อกรรม จำไว้ ไม่มีทาง

ปล่อยให้มัน ผันตาม ธรรมชาติ
อย่าอุกอาจ ส่งเสริม ต่อเติมหาง
ก็ระบอบ เศรษฐกิจ มันผิดทาง
ปล่อยให้เสพ ทุกอย่าง อ้างเสรี

'ความพอเพียง' คือทางเลี่ยง เบี่ยงอาเภท
ไม่เป็นเหตุ เพศวิบัติ 'สัตว์ขี้หลี'
เที่ยวข่มขืน ฝืนใจ ไร้ปราณี
เหตุอัปรีย์ ที่ต้องแถ แก้กันไป.

ปรุง สีงา
17 มิ.ย. 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
บาดแผลร้าวลึก ในมิจฉากรรม ของทรราช สองพี่น้อง 'ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์' ทำไว้ ในปี 2544 - 2549

โดย ปรุง สีงา

คำว่า "ทรราช" (tyrant) หมายถึง ผู้ปกครองบ้านเมือง ที่ใช้อํานาจตามอําเภอใจ ทําความเดือดร้อนทารุณ ให้แก่ผู้อยู่ใต้การปกครองของตน. เรียกลัทธิเช่นนั้นว่า ทรราชย์ หรือ ระบบทรราชย์. (tyranny). ความเดือดร้อนทารุณ ที่ประชาชนได้รับ แม้จะบังเกิดแก่ประชาชน เพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็เป็นโทษกรรม ที่ผู้ปกครอง ไม่สมควรกระทำ.

มาดูกันว่า ทรราชสองพี่น้อง 'ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์' ทำความเลวระยำอะไร ให้แก่ประเทศไทยไว้บ้าง.

[1]
ปี 2544 แปรรูป ปตท. ทำให้คนไทย ต้องซื้อน้ำมันแพง มาจนถึงทุกวันนี้.

[2]
ปี 2546 แก้ไขฎหมาย ทุนรัฐวิสหกิจ เพื่อให้มีการ แปรรูป AOT TOP และ MCOT ในเวลาต่อมา.

[3]
ปี 2549 อาศัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แสวงประโยชน์เพื่อตนเอง ด้วยการขาย ชินคอร์ป ให้แก่ เทมาเสก โฮลดิงส์ ของสิงคโปร์ เป็นเงิน 7.32 หมื่นล้านบาท แต่ไม่เสียภาษี. ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จำนวนมาก.

[4]
สร้างความแตกแยก ของคนในชาติ แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ผ่านสื่อทีวี รายการนายกฯ พบประชาชน ทุกวันเสาร์, ยิ่งพูด ก็ยิ่งเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก คือ คนเกลียด และคนรักทักษิณ. เกิดการ ทะเลาะ ขัดแย้งกัน ทั้งในหมู่เพื่อน ครอบครัว องค์กร และนักการเมือง.

[5]
ในการปราบปรามยาเสพติด ทำให้มีคนตาย 3,000 คน อย่างไม่เป็นธรรม ไม่มีการสืบสวน. และในจำนวนนั้น มี 1,800 คน ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด.

มิจฉากรรม ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์

[6]
กฎหมายเกือบทุกฉบับ ออกมาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ของทักษิณทั้งสิ้น. คือ

- พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ให้พี่ตัวเอง และพรรคพวก, 2556.
- พ.ร.บ. ร่วมทุน 2556.
- พ.ร.บ. กู้เงิน 2.2 ล้านบาท.

[7]
พ.ร.บ. กำหนดให้ ส.ว. ต้องมาจากการเลือกตั้ง อันเป็นการทำลายระบบการถ่วงดุลอำนาจ ของระบบรัฐสภา.

[8]
แก้ไข รัฐธรรมนูญ ม. 190 เพื่อมิให้ รัฐสภา และประชาชน มีการตรวจสอบ ข้อตกลงระหว่างประเทศ อันเป็นการเปิดช่องแสวงประโยชน์ ให้แก่ กลุ่มธุรกิจการเมือง. เป็นการบั่นทอน กัดกร่อนหลักธรรมาภิบาล, ทำลายการตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ ระหว่างฝ่ายบริหาร กับฝ่ายนิติบัญญัติ และ ลดอำนาจการต่อรอง ของฝ่ายบริหาร.

[9]
ความล้มเหลวในนโบายแรงงาน กว่า 20 กรณี ในรอบ 20 ปี เช่น ปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงาน. ความไม่เป็นธรรมของแรงงานระหว่างประเทศ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน   ของคนงาน เป็นต้น.

[10]
ปี 2554 ทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เป็นการคอร์รัปชั่นในระดับโลก. มูลค่าความเสียหาย 1.78 แสนล้านบาท.

สรุปรวม ทรัพย์สิน ของตระกูลชินวัตร
- 49,000 ล้านบาท ตามที่ปรากฏ ในหลักฐานของ ป.ป.ช. ปี 2544
- 73,200 ล้านบาท ตามที่ปรากฏ ในหลักฐานของ ป.ป.ช. ปี 2549
- 150,000 ล้านบาท ตามที่ทักษิณ กล่าวอ้าง ที่อังกฤษว่า ป.ป.ช. ยึดทรัพย์ของตนไป 4,000 ล้านเหรียญ ดอลลาร์.
- 192,500 ล้านบาท เป็นเงินลงทุนธุรกิจปิโตรเลียม.

รวม 342,500 ล้านบาท.

"มีเงิน จ้างผีโม่แป้ง ก็ได้"

รวยขนาดนี้ เรื่องอะไร จะกลับมาติดคุก ในประเทศไทย. เงิน 342,500 ล้านบาท สร้างวิมานที่ดูไบ ได้ตลอดชาติ.

เงินของเขาเพียงคนเดียว ทำลายประเทศไทย ให้กลายเป็น รัฐที่ล้มเหลว (failed state) ได้. รัฐที่ล้มเหลว ภายใต้ความขัดแย้งของคนในชาติ อย่างยาวนาน ถูกทำลายโดย กลไกของรัฐ ที่ขาดความมั่นคง และไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ต้องเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย ระบบราชการอ่อนแอ ข้าราชการไร้เอกภาพในการทำงาน เต็มไปด้วย กลไก "เกียร์ว่าง" และทุจริตซับซ้อนขึ้น.

เมื่อเทียบกับความเสียหาย ที่ทรราชสองคนนี้ ทำไว้กับประเทศไทย, การยึดทรัพย์ หรือลงโทษทักษิณ ยิ่งลักษณ์ แบบใดใด ก็ไม่ยุติธรรมและไม่เพียงพอ แก่มิจฉากรรม ที่เขาก่อไว้.

แต่บาดแผลที่ร้ายแรง และร้าวลึกที่สุด ที่เขาทิ้งไว้ให้คนไทย คือ ยังมีคนไทย ที่หลงผิดเห็นผิดไปกับ มิจฉากรรม ของคนในตระกูลชินวัตร อยู่อีกไม่น้อย. โดยเฉพาะ การสืบทอดอำนาจ "ทายาทอสูร" ในชื่อ 'อนาคตใหม่' และ 'ก้าวไกล' ภายใต้ การบงการของ อสูรรุ่นถัดมา 3 คน คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รศ.ปิยบุตร แสงกนกกุล และ พรรณิการ์ วานิช.

ของแถมที่เหล่าอสูร 3 ตนนี้ ทำไว้ คือ การหลบซ่อนตัวตน ในการกัดกร่อน บ่อนทำลาย สถาบันสำคัญของชาติ ด้วยการร่ายเวทมนตร์อ้นน่าสะอิดสะเอียน ผ่านช่องทางสื่อสารมวลชน ในชื่อ voice tv ซึ่งมี 'โอ๊ค' พานทองแท้ เป็นเจ้าของ และ คุณปลื้ม หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล เป็นพิธีกรหลัก ในการแพร่ลัทธิอุบาทว์ชาติชั่ว ของพวกเขา.

ลัทธิอุบาทว์ชาติชั่ว สร้างความปั่นป่วน ทำลายความสงบสุข และความปรองดองของคนในชาติ และระบบการเมืองการปกครองของไทย ตลอดมา หลังระบอบทักษิณ สูญเสียอิทธิพล.

"ถ้าผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังเลยว่า ประเทศนี้จะมีความสงบสุข" ทักษิณ ชินวัตร กล่าวอาฆาตไว้ อย่างมีนัยสำคัญ ที่คนไทยจะไม่มีวันลืม.

-ปรุง สีงา-
1 มิ.ย. 2563.

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
บทความ - ปุจฉา-วิสัชชนา: ทำไม ประเทศไทย จึงไปไม่ถึง "มหาอำนาจ"

โดย ปรุง สีงา

พูดแสดงความคิดเห็น ในแง่มุมเดียว หรือในมุมที่ตนได้ประโยชน์ เพียงอย่างเดียว หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การนำเหตุการณ์หนึ่ง มาพูดเปิดเผย แต่พูดไม่หมดทุกประเด็น ปิดบางประเด็นไว้ (ประเด็นที่ปกปิด มักเป็นข้อเสียหาย ที่จะไม่เป็นผลดีแก่ตน). แสดงให้เห็นว่า ผู้พูดมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จากการนำเสนอ ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้พูด.

เมื่อวาน ได้รับข้อความหนึ่ง ที่เป็นรูปภาพ ซึ่งพิเคราะห์ดูแล้ว ถูกส่งมาจากคนกลุ่มเดิมๆ ที่เป็นฝ่ายต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ต่อต้านเผด็จการทหาร. มีพฤติการชอบอ้างประชาธิปไตย มาเป็นเหตุผล ในการเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาล.

ปุจฉา -

“ ... จอมพล ป. เป็นนายก 15 ปี
จอมพลสฤษดิ์ เป็นนายก 5 ปื
จอมพลถนอม เป็นนายก 11 ปี
พลเอกเปรม เป็นนายก 8 ปี
พลเอกสุจินดา เป็นนายก 47 วัน
พลเอกสุรยุทธ์ เป็นนายก 1 ปื
พลเอกประยุทธ์ เป็นนายก 6 ปี
รวม ทหาร เป็นนายก 46 ปี

ถ้ามันดีจริง ไทยคงเป็นชาติ
มหาอำนาจของโลกไปแล้ว.

เราต้องการประชาธิปไตย
ที่อำนาจมาจาก พี่น้องประชาชน ... ”

วิสัชนา -

“ ... จอมพล ป. เป็นนายก 15 ปี
จอมพลสฤษดิ์ เป็นนายก 5 ปื
จอมพลถนอม เป็นนายก 11 ปี
พลเอกเปรม เป็นนายก 8 ปี
พลเอกสุจินดา เป็นนายก 47 วัน
พลเอกสุรยุทธ์ เป็นนายก 1 ปื

ทักษิณ เป็นนายก 5 ปี
ยิ่งลักษณ์ เป็นนายก เกือบ 3 ปี
มีคนรวย ชั่วคราว มีคนจนถาวร
สร้างหนี้ และ มิจฉากรรม
ให้กับประเทศมากมาย

พลเอกประยุทธ์ เป็นนายก 6 ปี
พยายามปฏิรูปประเทศ ท่ามกลางอุปสรรค
ที่หมักหมม เน่าเหม็น ละเทะ จากรัฐบาลก่อน
มานาน 40 ปี. เร่งสร้างสาธารณูปโภค พื้นฐาน ,
พัฒนา EEC, เร่งสร้างโครงข่ายโทรคมนาคม
รถไฟฟ้า ทั่วประเทศ , ปราบหนี้นอกระบบ ,
ให้สินเชื่อ soft loan, ป้องกันไวรัสระบาด , ฯลฯ. ... ”

มองให้รอบ คิดให้ลึก ตรึกด้วยปัญญา ภายใต้หลักเหตุผล และความเป็นจริงสักหน่อย. การเป็นชาติ มหาอำนาจ มีเงื่อนไขหลายประการ โดยเฉพาะ (1) วินัยของคนในชาติ (2) ความมีเหตุมีผล ของประชาชน และ (3) เทคโนโลยีการสื่อสาร โทรคมนาคม.

อย่ามาทำเป็นลืม เป็นคนหูหนวกตาบอด, ตลอด 80 ปี ที่ผ่านมา มีใครบ้าง ที่ทำร้ายประเทศไทย และ ใครที่ปล่อยปละละเลย เลือกผู้แทนห่วยๆ และทุเรศ เข้าไปบริหารประเทศ. นี่ต่างหาก ที่ฉุดรั้ง สกัดกั้นประเทศไทย ไปไม่ถึง "มหาอำนาจ."

คนดี คนเลว มีในทุกอาชีพ ทุกชนชั้น. การด่าเหมารวม การเอ่ยอ้างในมุม ที่ตนได้ประโยชน์ แต่โยนขี้ให้คนอื่น แสดงถึงปัญญาตื้นเขิน ของผู้พูด. ภายใต้ทัศนะ มุมลบ และจิตริษยา.

ควรแยกแยะ ก่อนด่า แยกยะ ก่อนชม จะเป็นคำด่าคำชม ที่น่ารับฟัง และ เป็นคำพูดของลูกผู้ชาย ที่น่านับถือ.

คนทำดี เราสนับสนุน, คนทำชั่ว เราประณาม. คนทำดี แม้มีดี ไม่เต็มร้อยเปอร์เซนต์ แต่ดีนั้น ส่งผลต่อสาธารณะ เราก็ชื่นชม. คนทำชั่ว แม้จะมีดี หรือทำชั่วเล็กน้อย แต่ชั่วนั้น ส่งผลกระทบต่อสาธารณะ เราก็ประณาม ในส่วนที่ชั่ว.

คำว่า 'เราต้องการประชาธิปไตย อำนาจ ที่มาจากประชาชน ?' ถามจริง! ประชาชน มีอำนาจจริงหรือ?

อำนาจ ที่แท้จริง เป็นของนักการเมืองเก่า มิใช่หรือ ? นักการเมืองพวกนี้แหละ ที่เอาคนจนมาเป็นฉากบังหน้า ในการฉกฉวยผลประโยชน์ และภาษีของชาติ ไปเป็นของตน. นักการเมืองพวกนี้นั่นแหละ ที่ได้ประโยชน์เต็มๆ (เริ่มจาก เงินเดือน เดือนละแสนสองแสน) แย่งอำนาจกัน บริหารงบประมาณ (อ้างบริหารประเทศ บังหน้า) แล้วโยนเศษอะไรไม่รู้ ให้ประชาชน.

นี่หรือ อำนาจ เป็นของ ประชาชน, ถุย!

-ปรุง สีงา-
2 มิ.ย. 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


เวทีความคิด:
สำเนียง ส่อภาษา กิริยา ส่อสถุล วาจา ส่อสกุล

โดย ปรุง สีงา

วันนี้ ได้ฟังสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ที่ถ่ายออกมาทางทีวีช่องหนึ่ง จะไม่ฟังก็ไม่ได้ เพราะเสียงนั่น มันโหวกเหวกอยู่ข้างหู แบบเลี่ยงไม่ได้. ในขณะที่รัฐบาลเขากำลังรณรงค์ให้คนอยู่บ้าน รักษาระยะห่างทางสังคม และขอความร่วมมือ ปิดบ้านเมืองชั่วคราว เพื่อป้องกันไวรัสระบาด และทำได้ผลมาตลอดสองเดือน. แต่มีคนบ้ากลุ่มหนึ่ง ออกมาโหวกเหวก ไม่เห็นด้วยกับ มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลทำ นัยว่า เป็นเผด็จการ ทำเศรษฐกิจเสียหาย ลิดรอนเสรีภาพ ตื่นตระหนกไวรัสเกินเหตุ อ้างประกาศเคอร์ฟิว เพื่อสืบทอดอำนาจ ฯลฯ สารพัดที่มันจะโหวกเหวกออกมา. ฟังเสียงนั้นแล้ว ให้นึกถึงคนพาล ที่พาลหาเรื่องด่า

คนที่กำลังทำหน้าที่ เพื่อคนอื่นๆ ชนิดที่ไม่เลือกกาลเทศะ.

คนสันดานริษยา พยายาท ไม่ใช่คนโง่นะครับ. แต่เป็นคนพาล ที่เรียกว่า ‘ เฉโก ' (ฉลาดโกง ฉลาดที่จะเอาเปรียบ). เกิดมาในตระกูลดีซะเปล่า แต่ในหัวสมองนั้น เต็มไปด้วยเฉโก และมิจฉาทิฐิอย่างเหนียวแน่น.

ไอ้สัสปลื้ม ลืมตัว มั่วสำเนียง
ถุย! โต้เถียง มาตรการ ต้านโควิด
ด่าทุกวัน สันดาน พาลสิ้นคิด
สำแดงฤทธิ์ ขวิดไปทั่ว เหมือนวัวบ้า

มึงต่อต้าน การชัตดาวน์ ทุกคราวครั้ง
เพราะมึงคลั่ง เสรีชน คนริษยา
เห็นผลงาน ต้านไวรัส ขัดลูกตา
จะตายห่า หรืออย่างไร ไอ้ควายทุย

ยุงยงเด็ก เลิกใช้ ใส่หน้ากาก
ฉีกกระชาก กฏฉุกเฉิน ไอ้เฉาฉุ่ย
เลียตูดทรัมป์ ทำเป็นเก่ง เบ่งคำคุย
แค่ไอ้กุ๊ย ถุย! ขี้ข้า อเมกัน.

เมื่อเห็นคนอื่น ดีกว่าตัวเอง แล้วไม่สบายใจ เรียกว่า คนสันดานริษยา, แต่ถ้า รู้สึกว่าตัวเอง ได้เปรียบคนอื่นแล้ว สบายใจ เรียกว่า คนสันดานโกง. คนสันดานริษยา เป็นคนไม่ดี ทำดีได้ยาก ยากกว่า คนสันดานโกง. เพราะจิตริษยา นั้นเหนียวหนึบเกินกว่า ใครๆ จะฉีกให้มันขาด ออกจากกันได้ ทั้งๆ ที่ เขาก็เห็นอยู่ในใจ ใกล้แค่เอื้อม.

- ปรุง สีงา-
3 มิ.ย. 2563
[สีงา , งาดำ งาขาว งาช้าง - แล้วแต่มุมมอง]

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
คนหาเช้า กินค่ำ ยุค covid-19 ระบาด

โดย ปรุง สีงา
30 พ.ค. 2563

สิ่งพิสูจน์ ความล้มเหลว ของระบอบ democracy - capitalism แบบอเมริกา คือ เมื่อ กระแสทางการเงิน เกิดสะดุด หรือถูกตัดขาด ณ จุดใดจุดหนึ่ง (เช่น กรณีผลกระทบ covid-19) ผู้คน (เปลือกนอก ดูร่ำรวย มั่นคง หรูหรา) ก็จะถูกตัดขาดไปด้วย ราวกับ การเป็นคน "หาเช้า กินค่ำ" เงิน ไหลมา ชีวิตไหลไป วันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์.

ระบบทุนนิยม ไม่ได้เตรียม ปัจจัยสี่ (ข้าว-ผัก ผ้า ยา บ้าน) ไว้ในยามฉุกเฉิน ให้แก่ประชาชนเลย. คนระดับบน (นายทุน) มองเห็นประชาชน เป็นแค่ "เหยื่อ" กำลังไหลไปตาม กระแส (เงิน) ที่พวกเขาวางไว้ อย่างเป็นระบบ. ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า การได้เปรียบของพวกคนระดับบน เปรียบเหมือนการฉกฉวย หรือ ปล้น ผู้บริโภคเหล่านั้น อย่างเลือดเย็น ไร้ปราณี. พิสูจน์ได้จาก วาทกรรม ที่ว่า "งานคือเงิน   และ เงินคืองาน   บันดาลสุข. ไร้งาน ไร้เงิน ก็ไร้สุข.

คนอเมริกัน จึงต้องแข่งขันทุกวินาที เพื่อเงิน เพื่องาน. ไม่มีเวลาที่จะสร้างต้นทุนปัจจัยสี่ , ไม่มีเวลามากพอ ในการสร้างต้นทุนใจ , ไม่มีเวลาเหลือมากพอ ในการสร้างสุขภาวะให้แก่ตนเอง. ทำให้พวกเขา เข้าไม่ถึงในความมีน้ำใจ ที่จะ "แบ่งปัน" ป่วยกล่าวไปไย ที่จะ "สงเคราะห์" แก่คนด้อยโอกาสนั้น แทบมองไม่เห็นเลย.

นี่คือ เสรีประชาธิปไตย แบบอเมริกันชน. ที่นักการเมืองไทยกลุ่มหนึ่ง กระหายอยาก กระเหี้ยนกระหือรือ ที่จะได้ จะเป็น เพราะเล็งเห็น ประโยชน์ ที่จะฉกฉวยเอาได้ ภายใต้วิธีการ 'เลือกตั้ง' 'ประชานิยม' 'ทุจริต' 'ซื้อขายคะแนนเสียง.'

ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่เคียงคู่ และได้รับการยอมรับ จากคนไทย มานานกว่า 700 ปี. เป็นระบอบที่สร้าง ความสัมพันธ์ และ ความผูกพัน ระหว่าง พระราชา กับ ราษฎร และระหว่าง ราษฎรด้วยกันเอง ให้เป็นผู้แบ่งปัน และสงเคราะห์ ซึ่งกันและกัน. การใช้ชีวิตบนพื้นฐาน ความพอเพียง พึ่งตน ทำให้คนไทย ไม่ขาดแคลน ปัจจัยสี่ และเกิดการเฉลี่ย แบ่งปันกัน สงเคราะห์กัน อย่างลงตัว. ที่เห็นชัดเจน ก็ช่วงไวรัสระบาด.

ดังนั้น คนในระบบทุนนิยมเสรี-ประชาธิปไตย จึงเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด ทุกข์ระทมมากที่สุด เพราะถูกเก็บกดไว้ด้วย การเสพสุข วัตถุนิยม ให้กลายเป็ภาพเปลือกนอก. จะเห็นได้ชัดเจน ก็ในช่วงโควิดระบาด นี้เช่นกัน.

ถ้ามองในมุมเศรษฐกิจ , เสรีชนคนอเมริกัน (รวม อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และประเทศอื่นๆ ที่ดำเนินวิถีเศรษฐกิจ แบบทุนนิยมเสรี) , ก็มีสถานะไม่ต่างกับคนจน มีชีวิตอยู่บน "กระแส" มี "ลักษณะ" การดำเนินชีวิต ไม่ต่างอะไรกับ "คนหาเช้า กินค่ำ" เพราะหากเวลาใด กระแสเกิดสะดุด ขาดสะบั้นลง พวกเขาก็จะกลายเป็น คนหาเช้ากินค่ำ ไปในทันที.

แบ่งปัน กับ สงเคราะห์ มีความหมาย และกิริยา เหมือนกัน คือ ผู้ให้ มีพอเพียง เลี้ยงชีพตนได้แล้ว แต่แบ่งส่วนหนึ่ง ให้คนอื่น. โดยไม่หวังผลตอบแทน. ต่างกันเล็กน้อย ตรงที่ , ผู้ให้ ในสถานะ “แบ่งปัน” จะมีทรัพย์ น้อยกว่า ผู้ให้ ในสถานะ “สงเคราะห์” ซึ่งจะมีทรัพย์ มากกว่า. อาจพูดได้ว่า, เศรษฐี ให้แก่ ยาจก เรียกว่า สงเคราะห์, ส่วน ยาจก ให้แก่ ยาจก เรียกว่า แบ่งปัน.

การแบ่งปัน และ การสงเคราะห์ เป็นวัฒนธรรมประจำสังคมไทย มาอย่างยาวนาน. ฝรั่งชาติตะวันตก ไม่ค่อยได้เห็นสิ่งดีๆ แบบนี้ เพราะวัฒนธรรมทุนนิยม บริโภคนิยมนั้น ตั้งอยู่บน เงินและงาน. “เงิน” และ “งาน” จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ถูกป้อนเข้าไปในกระแส วิถี ชีวิตประจำวันของประชาชน ทำให้พวกเขา ไม่มีเวลา ที่จะสร้างเหตุและปัจจัย ที่จะสร้างการแบ่งปัน และ การสงเคราะห์ ต่อกันได้. ถ้าฝรั่งคิดจะแบ่งปัน หรือ สงเคราะห์ นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย และถ้าใครทำ ก็จะกลายเป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ สำหรับสังคมฝรั่ง แต่เป็นปรากฏการณ์ ธรรมดา สำหรับคนไทย.

โชคดีนะครับ ที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินไทย ในยุคสมัยภายใต้พระบารมี ของพระมหากษัตริย์. ประวัติศาสตร์ไทย ได้จารึกไว้มาอย่างยาวนาน. แต่พวกคนริษยา บ้าประชาธิปไตย แบบอเมริกัน กลับไม่เข้าใจสิ่งดีๆ ที่มีอยู่และใกล้ตัว น่าเสียดายแทนจริงๆ.

-ปรุง สีงา-
30 พ.ค. 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


เวทีความคิด:
รัฐศาสตร์ นอกกรอบ - อำนาจสูงสุดของประเทศ
เป็นสิ่ง 'พิเศษ'

โดย สู่ดิน ชาวหินฟ้า

ทุกคำ ข้อความ ล้วนมีนัยยะ และความหมายซ่อนเร้น.
โปรดใช้วิจารณญาณ ในการอ่านและตีความ.

"อำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นของราษฎรทั้งหลาย"

อำนาจสูงสุดของประเทศ เป็นสิ่ง 'พิเศษ '
"ความพิเศษ ไม่ได้หมายความว่า 'ดีที่สุด' เสมอไป,
ความพิเศษ คือสิ่งที่อยู่ข้างในจิตใจ ที่ไม่มีใครมองเห็น"

อุปสรรครากเหง้าปัญหา ของการบริหารประเทศ
ก็คือ 'อำนาจสูงสุดของประเทศ' และ
การใช้อำนาจนั้น ของ 'ผู้นำ' ,

บางกาละ บางสถานะ บางคน อาจมี 'คุณสมบัติ
ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ เพราะไม่รู้จัก 'ความเหมาะควร'
ที่จะใช้ อำนาจสูงสุดของประเทศ ในขอบเขตเท่าใด?
เพื่อใคร? เมื่อใด? ที่ไหน? อย่างไร?

ความเหมาะควร เป็นทั้ง 'ศาสตร์' และ 'ศิลปะ'
จึงเป็น สิ่งพิเศษ และเป็น คุณสมบัติของ ผู้นำ.

" ความพิเศษ ไม่ได้หมายความว่า 'ดีที่สุด' เสมอไป ,
ความพิเศษ คือสิ่งที่อยู่ข้างในจิตใจ ที่ไม่มีใครมองเห็น"

ดังนั้น "อำนาจสูงสุดของประเทศ" เป็นสิ่งพิเศษ
ที่ไม่มีใครมองเห็น.จึงคู่ควรกับ "ความเหมาะควร" มิใช่ ผู้นำ.
ผู้นำ เป็นเพียงผู้ที่ได้รับ สิทธิ 'ชั่วคราว' ให้มี หน้าที่
บริหาร “อำนาจสูงสุดของประเทศ” กับ “ ความเหมาะควร ”
ให้เกิดประโยชน์สุข สูงสุดแก่ราษฎร.

ด้วยลักษณะและคุณสมบัติ "ความพิเศษ" แห่ง
อำนาจสูงสุดของประเทศ และ ความเหมาะควร,
อำนาจสูงสุดของประเทศ จึงถูกแบ่งออกเป็น
สามส่วน คือ ส่วนของผู้นำรัฐ (อำนาจบริหาร)
ส่วนของการบัญญัติ (อำนาจนิติบัญญัติ) และ
ส่วนของความยุติธรรม (อำนาจตุลาการ).

และมอบ ความเหมาะควร ให้เป็น "หัวใจ"
แก่อำนาจทั้งสาม. อำนาจทั้งสามแท้จริง
ก็คือ สิ่งที่อยู่ข้างในจิตใจ ซึ่งคนโกหก และ
คนริษยา ไม่อาจมองเห็นได้.  

หมายเหตุ - ไม่มีความชั่วใดๆ ที่คนโกหก จะทำไม่ได้, คนที่เห็นคนอื่นดีกว่าตน แล้วไม่สบายใจ คือ คนสันดานริษยา.

-สู่ดิน ชาวหินฟ้า-
29 เม.ย. 2563


บทความ:
รัฐบาล สอบผ่าน สู้ไวรัสโควิด-19 ขณะที่ นักการเมืองฝ่ายค้าน เดือดร้อน ทุรนทุราย

โดย ปรุง สีงา

เชื่อว่า รัฐบาล จะฟังคนดี ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นคนตัวเล็กตัวน้อย บ้างก็อยู่ชายขอบ (เพราะด้อยโอกาส) บ้างก็นั่งอยู่ข้างหลัง (เพราะไม่ชอบเสนอหน้า) บ้างก็เสียงแหบแห้ง (เพราะถูกขโมยเสียงไป) บ้างก็แก่เฒ่าชรา บ้างก็เป็นครูอาจารย์.

ได้โปรดเถอะ รีบทำ ... ให้กำลังใจแก่ รัฐบาลที่กล้าหาญ ... ให้ใจกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา.

“สรุปผลการสอบ สู้กับ โควิด-19 ไทยติดอันดับชั้นนำของโลก. พอต้นเริ่มสอบ ก็ได้รับการดูแคลน ไม่เฉพาะคนนอกประเทศ คนในประเทศก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งฝ่ายแค้น และ ฝ่ายดูแคลนชาติ. ลุง ทำงานยากลำบากมากกับ

- พันธนาการทางการเมือง

- คุณภาพ ความสามารถของคน ที่ไม่ใส่ใจ ไม่ฉลาดในการทำงานเอื้อมวลชน

- การฉกฉวยมุ่งหาผลประโยชน์ใส่ตน

- แรงต้านจากนักการเมืองฝ่ายแค้น

- การขาดเอกภาพและความรวดเร็วในการสั่งการ

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสถานการณ์วิกฤติ ของประเทศชาติทุกครั้ง นักการเมืองอาชีพ นอกจากไม่สามารถ ช่วยประเทศชาติได้แล้ว ยังซ้ำเติมให้สถานการณ์ของชาติ เลวลงทุกครั้ง.โชคดีที่ลุง มีทางเลือกของตัวเอง, ฝ่าเสียงนกเสียงกา เสียงหมาเห่าหอน ปรึกษาผู้ที่ควรปรึกษา และ ไม่ยอมปรึกษาผู้ที่ไม่ควรปรึกษา.

ได้ข้อสรุป ยุทธศาสตร์ + ศิลปศาสตร์ + เทคโนโลยี ดังนี้

1. กลับไปสู่คราบเก่า "นักเผด็จการ ที่มีคุณธรรม" (งานที่ถนัด) โดย ประกาศภาวะฉุกเฉิน.

2. กระชับพื้นที่ การระบาดของไวรัสโควิด คือ ปิดบ้าน ปิดเมือง แต่ไม่ปิดหู ปิดตา รับฟังคำแนะนำที่ดี จากผู้รู้ ผู้เล็กผู้น้อย. จนเกิดหลักการ "โรคติดต่อ ถ้าคนไม่ติดต่อ ก็จะไม่มีการติดต่อ"

3. ลดขั้นตอนการทำงานให้เหมาะสม ( Mean and Lean). เน้นการแก้ปัญหาให้ตรงจุด และรวดเร็ว ( Focus and Fast)

4. ใช้คนให้ถูกเวลา มอบหมายงาน ให้ถูกคน. ให้มืออาชีพทำงาน โดยไม่ผ่านคนกลาง. ใช้ทีมแพทย์ และสาธารณสุขที่ทรงคุณค่า. ตัดการเอาหน้า หาเสียง หาประโยชน์ทางการเมือง ออกไปจากทุกกระทรวง.

5. เน้นบรรยากาศความร่วมมือ ความมีวินัย และ จิตสำนึกต่อส่วนรวม ของคนในชาติ แบบไทยๆ. เท่ากับ นำจุดแข็งในเรื่องน้ำใจ ของคนไทย มาแก้ไขวิกฤต.

- มาตรการของลุง จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก

- ขอรับความร่วมมือ (Persuasive, Focus Participation)

- เพิ่มความเข็มข้นในการใช้อำนาจ (Coercive) เพื่อกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือ.

- ใช้ความเด็ดขาดสั่งการ (Dictatorial) ในทันที เพื่อทะลุทะลวงปัญหาเร่งด่วน และในสถานการณ์แรงต้านสูง.

ประเทศไทย, จากม้านอกสายตา กลับกลายเป็น Super Star ของสังคมโลก ทำให้ลุงตู่ มี Aura เปล่งประกาย เหมือนไฟจากแสงเลเซอร์ พุ่งไปตัดเนื้อร้าย "ริษยา" ของนักการเมือง ที่เกลือดชัง และแค้นฝังหุ่น. ผลงาน ให้หมอ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ผู้มีคุณสมบัติ all in one (เป็นทั้งโฆษก แพทย์ จิตแพทย์ ครูสุขศึกษา ครูพละ) เป็นคนพูด. ส่วนลุง พูดด้วยผลงาน.

จะปลดล็อค เปิดบ้าน เปิดเมือง ลุงต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ระหว่าง "ความเดือดร้อนเรื่องการทำมาหากิน" กับ "ความตายเพราะโรคระบาด" เชื่อว่า ลุงตู่จะสร้าง ความสมดุลนี้ ได้อย่างเหมาะสม.”

ทั้งหมดนี้ เป็นข้อสรุป ซึ่งเรียบเรียงจากบทความของ นายแพทย์ ชำนาญ ภู่เอี่ยม (26/04/2563 เวลา 13:34)

ความต้องการ ของฝ่ายค้าน กระทำดุจมีความแค้นส่วนตัว จึงกล่าววิพากษ์นายกรัฐมนตรี อย่างไม่เป็นธรรม หลายกรณี. ความต้องการเหล่านั้น จะได้รับการตอบรับหรือไม่ เป็น "หน้าที่ + ความรับผิดชอบ" ของ รัฐบาล. รัฐบาลป่วน หรือ ไม่ป่วน เป็นแค่มุมมองของ ฝ่ายค้าน, ก็พูดกันไป.

คนติดเชื้อหนึ่งคน ต้องใช้เงินสองล้านบาท, ข้อนี้ ฝ่ายค้านก็รู้ แต่แกล้งโง่ (ก็ได้). 'ห่วงทำมาหากินมากกว่า' กับ 'มาตรการป้องกันโรคระบาด 'เป็นศิลปะ และ ศาสตร์ ในภาคปฏิบัติ, เป็นเหตุให้ 'คนพูด' มักเก่งกว่า 'คนทำ' ดุจเดียวกับ 'คนดู' จะเก่งกว่า 'นักมวย.'

ส.ส. มีทั้งฝ่ายค้าน และ ฝ่ายรัฐบาล, ล้วนแต่เป็น 'ผู้แทน ของประชาชน ทั้งประเทศ' มิใช่ ตัวแทนของคนไทย กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง. เมื่อเห็นว่า ประชาชน เดือดร้อน (ซึ่งไม่ควรเลือกฝ่าย) ก็ต้องช่วยบรรเทา เยียวยา ทุกถ้วนหน้า ไม่เลือกฝ่ายเขา ฝ่ายเรา ฝ่ายรัก ฝ่ายชัง.

งบเยียวยา เป็นภาษีของประชาชน การจะเกลี่ยให้เท่าเทียมกัน แบบ แจกกันทุกคนแบบถ้วนหน้า. เอาเด็กอมมือ มาเป็นรัฐบาลก็ได้. ประเทศไทย ไม่เคยประสบเหตุแบบนี้มาก่อน ต้องเรียนรู้ไป ฟัง (เสียงประชาชน) ไป แก้ไขไป, หากทำไม่ได้ ก็จะถูกด่า เป็นเรื่องธรรมดา.

สรุปว่า ...

- คนไทย ติดเชื้อและตายกันมาก - รัฐบาล ถูกด่า, ฝ่ายค้าน ยินดี.

- คนไทย ลดการติดเชื้อ - ต่างชาติ ชื่นชมรัฐบาลและคนไทย, ฝ่ายค้าน ทำอะไร (ริษยา ?)

- ถ้ายกเลิก lock down คนไทยกลับมาติดเชื้อมากขึ้น รัฐบาล ก็ถูกด่าอยู่ดี, ฝ่ายค้าน ด่าซ้ำ.

- มาตรการเยียวยา คนที่ด่ารัฐบาล ได้รับเงินแล้ว 'เงียบกริ๊บๅ!', แต่ถ้าไม่ได้ ก็ด่าซ้ำ. เหลือแต่คนที่ไม่ ริษยา มีน้ำใจ เท่านั้น ที่ให้กำลังใจ รัฐบาล.

- วุฒิสภา มาจากการคัดเลือก ไม่ได้มาจาก การเลือกตั้ง. การเลือกตั้ง มักเป็น 'ช่องทาง' สะสมอำนาจ ให้แก่ตัวเอง (คนที่ได้เป็น ส.ส. เป็น รมต. ย่อมรู้ดี). การคัดเลือกแล้วแต่งตั้ง ก็มีความชอบธรรมอยู่ในตัวเอง (คนดี ย่อมคัดเลือกคนดี) มักเป็นวิธีและเครื่องมือ ของรัฐบาล ในการดำรงสถานะของตัวเอง. ถ้ารัฐบาลทำดี ก็อยู่ยาว ถ้าทำไม่ดี ก็ถูกขับไล่อยู่ดี. (ไม่เกี่ยวกับ ส.ว. คัดเลือก). แม้ฝ่ายค้าน ได้เป็นรัฐบาล ก็จะทำแบบเดียวกันกับ ที่ฝ่ายรัฐบาลทำ (ไก่ งู ย่อมรู้นิสัยกัน).

รัฐบาล สอบผ่าน สู้ไวรัสโควิด-19 ขณะที่นักการเมืองฝ่ายค้าน (แค้น) กลับเดือดร้อน ทุรนทุราย. นี่แหละประเทศไทย และนักการเมืองไทย, Thailand Only!

-ปรุง สีงา-
29 เม.ย. 2563


เวทีความคิด:
ภาพปรากฏการณ์มหัศจรรย์ ผ่านการตัดต่อ

อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า (2020)
27 เม.ย. 2563

ภาพประกอบ, ภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิด ถ่ายเหตุการณ์ รถจักรยานยนต์ ชนกับรถยนต์ คนขับและคนซ้อนท้าย เสียชีวิต ปรากฏภาพลางๆ ที่เชื่อว่าเป็นภาพ วิญญาณของผู้ตาย กำลังเดินอยู่ในเหตุการณ์ ราวกับว่า ไม่รู้ตัวว่าตนเองตายแล้ว. ทำให้มีผู้ถามมาว่า “ เรื่องไม่น่าเชื่อ...วิญญานออกจากร่างคน ขี่มอเตอร์ไซค์ ชนเสาไฟฟ้า ตายคาที่ ซึ่งกล้องบนทางหลวงบันทึกไว้ได้ เรื่องจริง. @ สู่ดิน หินฟ้า ติ๋มไม่อยากเชื่ออะ จริงหรือคะวิญญาณ จะเห็นได้ขนาดนี้หรือคะ ถ้างั้นทั้งโลกใบนี้มีคนตายเยอะแยะ ก็เห็นวิญญาณกันหมดสิคะ งงค่ะ. ”

จากคลิปภาพนี้ วิเคราะห์ได้ว่า

(1) ปรากฏการณ์ ด้านฟิสิกส์

สายตาของมนุษย์ สามารถรับคลื่นความยาวแสงได้จำกัดมาก (ประมาณ น้อยกว่า 400 นาโนเมตร ไม่เกิน 800 นาโนเมตร - เรียกว่า ย่านแสงขาว) และหูก็สามารถรับคลื่นเสียง ได้ในระดับความถี่ 20 - 20,000 เฮิรตซ์ (หรือที่ความดังเสียง 0-120 เดซิเบล).

สรรพสิ่งรอบตัวมนุษย์ (รวมทุกสิ่งในจักรวาล) มีคลื่นแสงอื่นๆ หรือ คลื่นเสียง นอกจากที่มนุษย์จะรับได้อีก นับเป็นอนันต์ , ซึ่งมนุษย์มองไม่เห็นและไม่ได้ยิน แต่มันมีอยู่จริง. มนุษย์สามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านั้นได้ ผ่านเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ หรือไม่ก็ผ่าน "จินตนาการ."

ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า "จินตนาการ สำคัญกว่า ความรู้" ด้วยเหตุนี้ ทำให้เกิดความรู้ชนิดหนึ่งขึ้นมา จากจินตนาการ ซึ่งบางครั้งไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วย วิธีการทางฟิสิกส์หรือวิทยาศาสตร์.

ดังนั้น บางคนอาจเห็นภาพแปลกๆ และ เสียงประหลาด (ซึ่งอยู่นอกขอบเขตประสาทสัมผัสมนุษย์ทั่วไป) เพราะเขา "เห็น" และ "รู้สึก." ในขณะและภาวะที่เขาเห็นและรู้ , คนอีกคนหนึ่ง อาจไม่เห็น ไม่รู้สึก เช่นนั้นๆ ในขณะและภาวะนั้น. ดังนั้น บุคคลสองคน จะไม่สามารถ รู้ เห็น ปรากฏการณ์ ได้แบบเดียวกัน เวลาเดียวกัน ในตำแหน่งพิกัดเดียวกัน ได้เลย. นี่จึงเป็นเหตุผลว่า อย่าปล่อยให้สองคนถกเถียงเรื่อง ปรากฏการณ์ที่มองไม่เห็น เช่น ผี วิญญาณ. ถกเถียงกันอย่างไร ก็ไม่อาจตัดสินได้ว่า ใครจริง เท็จ อย่างไร. เพราะแต่ละคนมองกันคนละ ' มิติสัมพัทธ '

(2) ปรากฏการณ์ ด้านวิญญาณ

วิญญาณ ไม่ใช่ ผี (ghost) แต่วิญญาณ คือ ธาตุรู้ (consciousness). ที่เราเรียกว่า สัตว์มีชีวิต ล้วนแต่มีวิญญาณด้วยกันทั้งสิ้น. หรือกล่าวได้ว่า สัตว์ มนุษย์ รู้โน่น นั่น นี่ ได้เพราะ มีวิญญาณ เป็นผู้บอก บอกแล้วมันก็หายไป รอวิญญาณดวงใหม่ ผุดขึ้นมา ชี้บอกสิ่งนั่น สิ่งนี้ (เหมือนรับลูกต่อจากวิญญาณดวงก่อน) เสร็จแล้วก็ดับสลายไป.

นักวิทยาศาสตร์ ไม่อาจบอกได้ว่า วิญญาณ เป็นคลื่นหรือเป็นอนุภาค เพราะมันไม่มีขนาด ไม่มีมวล ไม่มีแรง อาจมีพลังงานแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พลังงานที่เกิดจากความร้อน (พลังงานแบบ thermodynamics), ดังนั้น โลกของวิญญาณ จึงไม่อาจบอกได้ด้วย วิถีแบบวิทยาศาสตร์ได้ว่า ร้อน หรือ เย็น หรือ มีตัว มีตน มีขนาด.

ดังนั้น สิ่งที่คนบางคน เห็น ในขณะที่อีกบางคน ไม่เห็น (ซึ่งอาจมีอยู่จริง หรือ แค่จินตนาการ หรือ แม้กระทั่ง อุปปาทาน ปั้นขึ้นในใจ ก็ตาม) จึงไม่ใช่ "วิญญาณ" แน่นอน. และก็ ไม่ใช่ผี. ไม่สามารถใช้ ภาษาแบบวิทยาศาสตร์ได้ มาอธิบายได้ ตามเหตุผลที่อ้างมาแล้วในข้อ (1)

ขออธิบายเรื่องผี สักหน่อย, เราเข้าใจว่า สัตว์ เป็นสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์ต่างๆ และ มนุษย์ เท่านั้น. นั่นก็ถูกต้องส่วนหนึ่ง เพราะ สัตว์ในความหมายที่เรารู้จัก จะมีร่างกายและจิตใจ, (ตถาคต บอกว่า นั่นคือ ขันธ์ห้า - รูป ก็คือ ร่างกาย, จิตใจ ก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ). แท้จริง ยังมีสัตว์ (ขันธ์ห้า) แต่ไม่มีรูปร่าง อีกตั้งมากมายในจักรวาล มากกว่ามนุษย์แบบเทียบกันไม่ได้เลย. สมมุติก็ได้ว่า ถ้าสัตว์ทั้งหมดในจักรวาล เทียบกับแผ่นดินของโลกทั้งใบ มนุษย์ก็แค่ เศษดินปลายเล็บ เท่านั้น ว๊าว!

สัตว์ที่ไม่ต้องอาศัยร่างกาย ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสูร สัตว์สวรรค์ (ยักษ์ ครุฑ วลาหก) สัตว์กึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา (คนธรรพ์ นาค) โอปปาติกะ เทวดา พรหม. สัตว์เหล่านี้ คนโบราณเรียกรวมๆ กันว่า ผี (สามัญนาม). สัตว์ดังกล่าว มีวิญญาณ อยู่ทุกสัตว์.

ผี พอจะจำแนกได้ดังนี้ (พอเป็นตัวอย่าง ยังไม่รับรองถูกต้องครบถ้วน) ,

ผีปอบ ผีเปรต ผีกระสือ ผีกะหัง ผีตายโหง ผีแม่นาค - สัตว์นรก.

ผีพราย - เทวดาชั้นต่ำพวกหนึ่ง หรืออาจพวกเดียวกับ โอปปาติกะ.

ผีตานี - คนธรรพ์.

ผีพญานาค - นาค.

ผีฟ้า หรือ แถน ผีปู่ผีย่า ผีหลักเมือง - เทวดา.

ผีพนัน ผีเหล้า ผีบุหรี่ ผีกัญชา รวมทั้ง ' ตีนผี ' - คน.

ผีตาโขน (เดิมเรียกว่า ' ผี ตาม คน ' ต่อมาออกเสียงเพี้ยนเป็น ผีตาโขน) - คนลามก.

ผีนางด้ง ผีนางสาก ผีนางแมว - คนชอบเล่นสนุกสนาน โดยอาศัยอุปปาทาน ความเชื่อ.

(3) ปรากฏการณ์ด้านเทคโนโลยีสื่อสาร

คลิปภาพดังกล่าว เคยมีผู้นำออกมาเผยแพร่แล้ว เมื่อเกือบ 2 ปีก่อน. และผมก็เคยวิพากษ์ไปแล้วครั้งหนึ่งว่า เป็นการ "สร้างภาพ" แต่ก็ยังอธิบายได้ ไม่ชัดเจนเท่าครั้งนี้.

โปรดสังเกตไว้เสมอว่า ภาพวิดีโอใดๆ ที่ถ่ายด้วยกล้องมุมเดียว และไม่เคลื่อนไหวกล้อง (คือไม่ - tilt, track, pan, dolly) ไม่เคลื่อนไหวเลนส์ (คือไม่ - zoom in-out) สามารถนำมาตัดต่อ ให้เกิดความพิสดาร แปลกประหลาด มหัศจรรย์ อย่างไรก็ได้ อีกเยอะ และทำได้ง่ายๆ ด้วย. ยกเว้นภาพที่เขาจงใจสร้างในภาพยนตร์ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวทั้งฉาก นักแสดง และกล้อง ก็จะทำได้ยากขึ้น เช่น ฉากในหนัง sci-fi, fantasy หลายๆ เรื่อง.

คลิปคนขับรถจักรยานยนต์ชนรถยนต์ เสาไฟฟ้า ตาย แล้วปรากฏภาพ คล้ายร่างเลือนลาง (สมมุติเรียก วิญญาณ ตามที่เข้าใจไปก่อน ซึ่งที่จริง ไม่ใช่วิญญาณ) ปรากฏอยู่ , คนทั่วไป มักจะทึกทักเอาว่า นั่นคือ ภาพวิญญาณ เพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณ มาผิดๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว.

คลิปภาพ ที่ปรากฏร่างเลือนลางของคนตาย แล้วมีคำอธิบายว่า นั่นคือ ภาพวิญญาณ และเป็นภาพจริงจากกล้องที่ถ่ายไว้. แน่นอนว่า จะไม่มีคนดูคนใด จะไปอยากรู้ว่า ที่มาของภาพนั้น จริงหรือไม่ หรือมาจากแหล่งใด. แต่ก็เชื่อไปแล้ว และความเชื่อนี่เอง จะกลายเป็นเหตุและผล สนับสนุนว่า นั่นคือ ภาพวิญญาณคนตาย และนั่นมันเป็นภาพของจริง.

ผมมีเหตุผลที่จะกล่าวว่า, ภาพนี้ ถูกสร้างขึ้น จากส่วนหนึ่งของกล้อง แล้วนำมาตัดต่อ แต่งเติม ด้วยวิธีการที่ไม่ยาก โดยตัดเอาเหตุการณ์ คนที่อยู่นอกเฟรมภาพ วิ่งมายืน ณ จุดที่ดูคล้ายร่างวิญญาณ แล้วเอามาซ้อนเหลื่อมกับวินาทีที่รถชน โดยลบส่วนที่ซ้อนทับ ทิ้งไปก่อน จากนั้น ก็เบลอใส่เงาดำลงไป. สังเกตว่า ตอนนั้น จะมีตำรวจท่านหนึ่ง วิ่งเข้าไปแตะแขนนิดหนึ่ง แล้วผละจากไป เพราะนั่นคนจริง ไม่ใช่วิญญาณ แต่ทำให้คนดูคลิปเห็นลางๆ. เหตุผลง่ายๆ ว่า ภาพที่นำมาซ้อนทับกัน มีฉากอันเดียวกัน (ซึ่งก็มาจากกล้อง ที่ตั้งอยู่กับที่นั่นเอง) เมื่อภาพหนึ่งถูกลบไป (มักอยู่เลเยอร์บน) ฉากหลังก็จะยังอยู่ เพราะใช้ภาพฉากร่วมกับอีกเลเยอร์หนึ่ง (ที่อยู่เลเยอร์ล่าง).

ภาพนี้ ไม่บอกแหล่งที่มา ไม่มีหลักฐานอ้างอิง บอกแบบตีหัวเข้าบ้านว่า ภาพจริงจากกล้อง. ซึ่งถ้าผมเป็นคนสร้างภาพนี้ขึ้นมา ผมก็จะปิดบังเบื้องหลังเหตุการณ์จริงไว้ เพื่อหลอกคนดูให้เชื่อสนิท ไม่อย่างนั้น ผมก็ไม่เก่งจริงน่ะสิ.

ถามสั้น แต่ตอบยาว ... คงได้รับความกระจ่างนะครับ.

สู่ดิน ชาวหินฟ้า.
27 เมษายน 2563


บทความ -วิเคราะห์:
ยุทธวิธี การสร้างความแตกแยก โดยอิงศาสนา.

เรียบเรียงโดย สู่ดิน ชาวหินฟ้า

มีผู้แชร์ ข้อความเป็นกังกวล เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ว่าดังนี้.

พุทธศาสนาในประเทศไทยต่อไปจะเป็นไงนะ. อิสลามรุกคืบ บุกแล้ว เพื่อเปลี่ยนศาสนาพุทธ กลืนชาติ พี่ไทย ยังหลับสบายดี น่ะ. ข้อมูลนี้ท่านเห็นว่าไง เป็นข้อมูลไม่หวังดีอีกหรือเปล่า

ขอวิสัชชนา เห็นต่างดังนี้.

ประเทศไทย มีอิสระเหนือกว่าสิ่งใดในโลก ไม่มีชาติใด ศาสนาใด จะเข้ามาครอบครองได้หรอก ... ยิ่งใหญ่ ระดับ ฝรั่งเศส อเมริกา อังกฤษ ก็ยังทำไม่ได้เลย อิสลาม รึ จะใหญ่กว่า ชาติมหาอำนาจเหล่านั้น.

มีเพียงเหตุผลเดียว ที่ทำให้ประเทศไทย ยังคงความเป็นไทย ตีแตกไม่ได้ง่ายๆ คือ "รักตัว กลัวลำบาก อยากสบาย." กฏเกณฑ์อะไรๆ (กู) ไม่เอาทั้งนั้น, กฏใด วินัยใด ที่ตั้งไว้ (กู) สามารถ (เจาะช่อง) ละเมิด ได้หมด ทุกเรื่อง. จนเกิดมหากาพย์ (ดรามา) ทุจริตคอรัปชั่น กันอย่างมโหฬาร จนมีผู้เปรียบเปรย นิสัยน้ำเน่า ของคนไทย ผูกเป็นร้อยกรองง่ายๆ ว่า "มักง่าย งมงาย ไร้วินัย ใฝ่อบายมุข สุขระเริง เหลิงอำนาจ ทาสริษยา บ้าบารมี"

ไม่ว่าชาติใด ประเทศใด ก็ไม่กล้าเอาไทย เป็นเมืองขึ้น เพราะถ้ายึดเอาไปได้ และจะปกครองให้ง่าย ก็คือ ต้อง ไม่ให้มีคนไทย แล้วเอาคนของเขา มาแทน. นั่น ทำไม่ได้ ก็แค่พูดเปรียบเปรย ให้สนุกๆ ไม่เครียด. ถ้าพูดถึง นิสัยคนไทย กับเรื่อง กฏระเบียบวินัย มีเรื่องเล่า ตลกๆ ขำขำกันเยอะ.

จาก ภาพที่รับแชร์มาจากแหล่ง ที่ไม่มีการอ้างอิง, ภาพส่วนหนึ่งของ ตำราเรียน ภาษาไทย คนไทย ทั้งสี่ภาค. ต่างเชื้อชาติ ภาษา เผ่าพันธ์ และต่างก็รักในภาษาถิ่นของตัวเอง. การเปิดโอกาสให้ คนไทยถิ่นเรียนภาษาไทย ในแบบฉบับภาษาวัฒนธรรมถิ่น เป็นสิ่งสมควรทำ. เพราะไม่ได้สร้างความเกลียดชัง ของคนในชาติ (แต่อาจทำให้คน รักชาติ แบบใจแคบ ไร้เหตุผล มองในแง่ลบได้).

ภาพนั้น เป็นตำราเรียน ที่ทำให้เหมาะสมกับเด็กในพื้นที่ ซึ่งเป็นคนที่รักศาสนาของเขา. เขาก็ทำแบบนั้นเป็นเรื่องปกติ (ถ้าเป็นเรา ก็ทำแบบนั้น เหมือนกัน) เราต้องใจกว้าง ประเทศไทย ให้อิสระกับทุกศาสนา.

ถ้าคิดจะยึดเอา พุทธ เป็นใหญ่ ฝ่ายเดียว. คิดดูเถิด ศาสนาอื่นเขาจะยอมอยู่กับเราหรือ? เพราะถือเป็นคนกลุ่มน้อย ประเทศ ก็จะแตกแยก เหมือน พม่า ที่แบ่งเป็นหลายรัฐ. (ขอให้ภูมิใจ ชาติไทย เป็นเอกรัฐ โดยมีพระเจ้าอยู่หัว เป็น ศ.ก. อยู่เหนือ การเมือง อุปถัมภ์ทุกศาสนา - ผู้ไม่หวังดี หรือ ผู้ที่คิดต่าง โปรดใช้วิจารณญาณ ให้ดีๆ ว่าใครกันแน่ ที่รวม ชาติ ศาสนา ให้เป็นหนึ่งเดียว. ในโลก มีใครทำได้บ้าง?).

ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ลักษณะ รูปแบบ วาทะกรรม ของผู้ไม่หวังดี ที่ส่งข้อความ แชร์ออกไปในโลกออนไลน์ คือ

(1) ข้อมูลที่ส่งขึ้นมา และแชร์ ต่อๆ กันไป มักขาดการอ้างอิง ผู้รับมาแล้ว แชร์ต่อ โดยไม่ระมัดระวัง อาจกระทำผิด พรบ.เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้. ถ้าเป็นกลุ่มไลน์ สมาชิกในกลุ่ม ก็อาจมีความผิดไปด้วย. [ตามหลักการ ผู้เขียน นำมาเผยแผ่ต่อ เป็นคำวิจารณ์ในเชิงเหตุผล และความจริง ของผู้เขียน. ถ้าท่านจะแชร์ต่อ ต้อง มีเหตุผล ว่าทำไปทำไม?] ดังนั้น ถ้าไม่แน่ใจ และต้องการจะแชร์จริงๆ ควรแชร์เป็นการส่วนตัว.

(2) มักใช้คำพูดปลุกเร้า ปิดท้ายเรื่อง เสมอ เพื่อให้ดูน่าตกใจ หรือ ดูเป็นเรื่องร้ายแรง. เป็นกรรมวิธีปิดบัง ความไม่น่าเชื่อถือของข้อมูล เพราะถ้าคนรับสาร ขาดวิจารณญาณ ก็จะตกเป็นเหยื่อได้ง่าย "เข้าทาง". พวกมิจฉาชีพอื่นๆ ก็ใช้กรรมวิธีแบบเดียวกัน.

(3) มักจะเร่งเร้าให้รีบแชร์ แชร์กันให้เยอะๆ แชร์กันให้ตาสว่าง แชร์แบบลูกโซ่ แชร์แล้วจะแต้มคะแนน เป็นแรงจูงใจ. เช่น ได้บุญ ได้รู้สึกว่า มีส่วนร่วมทำในสิ่งถูกต้อง ฯลฯ โดยเฉพาะคนที่มีอารมณ์ร่วม ในเรื่องนั้นๆ อยู่แล้ว [ดู *ทฤษฎี กลไกการสร้าง ความรัก ความเกลียดชัง] วิธีนี้ กลุ่มค้าขายออนไลน์ มักทำกันไม่ผิด เพราะ นั่นไม่ใช่ สร้างความแตกแยก เป็นเรื่องของการค้าขาย.

(4) ภาพ ข้อความ เหตุการณ์ สถานการณ์ ที่อ้าง มักขัดกับหลักตรรก (Logic). วิสัยทัศน์แคบ มองโลกในมุมเงย (มุมหนอน หรือ มุมกบ บนกะลาหงาย) เช่น การอ้างภาพถ่าย ตำราเรียน นั่นอาจเป็นแค่ ส่วนหนึ่ง ของตำรา ไม่ใช่ทั้งหมด. แต่ทำให้ดูเหมือน ว่าเป็นตำราของเด็กทั้งประเทศ. ไม่กล้าแสดงภาพ แหล่งตีพิมพ์ หรือ คนเขียน. (ถ้าขืนแสดง และพิมพ์ภาพข้อความ ฝังลงไปในภาพ ผิด ก.ม. แน่ๆ. ดังนั้น การแชร์ รวมไปพร้อมกัน ทั้งภาพและกล่องข้อความ นั้นอันตราย เข้าข่ายผิดกฏหมาย. เจ้าของโพสต์ เขาอยู่ในมุมมืด เขาฉลาด ที่จะไม่ฝังข้อความลงไปในภาพ ให้เอาผิดทางกฎหมายได้ ปล่อยความผิดตกแต่ ผู้เขียน comment & share เท่านั้น.

(5) มักปิดบังฐานะของตัวผู้โพสต์ เช่น ไม่แสดงภาพกลุ่ม คณะของตัวเอง. ถ้าจะแสดง ก็จะปิดบังหน้า เช่น ใส่ mask ชอบอยู่ในมุมมืด ราวกับปีศาจ. คนพวกนี้ จะไม่แสดงตัวเด็ดขาด เพราะบางคน รู้ว่าตน ทำหน้าที่เป็นแค่ "มือปืนรับจ้าง" รับค่าตอบแทน โพสต์แล้วก็จบงาน. จึงไม่กล้าเปิดหน้า เป็นการสุ่มเสี่ยงเปล่าๆ. จะยุให้พวก hardcore ประเภท บ้า ดี เดือด ออกหน้าแทน (ติดคุกแทน).

(6) เข้าตำรา สำนวนไทย สมัยใหม่ ที่ว่า
“สำเนียง ส่อ ภาษา
กิริยา ส่อ สถุล
วาจา ส่อ สกุล”

เป็น "วาทกรรม" ของ "ผู้ไม่หวังดี" ทั้งโจมตี และทั้งปกป้องตัวเอง ไปในตัว. โจมตี คือ ส่ง post แบบเดียวกันนี้ เรื่อยๆ (ส่งเอง หรือจ้าง) ไม่ขาดระยะ ให้เกิดความเกลียดชัง ของคนในชาติ. วาทกรรมโจมตี ก็ทำกัน หลายรูปแบบ. แต่วาทกรรมปกป้อง จะใช้คำว่า "ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่" ในกลุ่มที่ใช้ความเชื่อ เป็นเนื้อหา มักใช้วาทกรรมนี้ มากที่สุด. เช่น กลุ่มคนใบ้หวย (ทั้งมี หรือ ไม่มี ค่าตอบแทน เป็น ตัวเงิน หรือสิ่งอื่น แทนเงิน).

พฤติกรรมเช่นนี้ ถูกนำมาใช้ตลอด เช่น ช่วงทศวรรษ 2550 มีผู้อ้างตัวว่าเป็น ชาวพุทธกลุ่มหนึ่ง. เคยเสนอ ให้ รัฐธรรมนูญไทย ระบุชัดเจนไปเลยว่า ให้พระพุทธศาสนาเท่านั้น เป็นศาสนาประจำชาติ. (ซึ่งถ้าทำเช่นนั้น ทั้งผิดหลักตรรก ผิดหลักการปกครองประเทศ ผิดหลักการทหาร การต่างประเทศ ผิดไปหมด คนโง่เท่านี้น ที่จะคิดแบบนี้)

สำนวนไทยโบราณ "สำเนียง ส่อภาษา กิริยา ส่อสกุล" รวมทั้ง ของใหม่ (ผู้เขียน - สู่ดิน ชาวหินฟ้า) พอจะเป็นแนวทาง วิเคราะห์พฤติกรรม กำพืดของคนเหล่านี้ได้ไม่ยาก. เพียงแค่ใช้ปัญญา เปิดสองตา สองหู มองโลกในมุมเปิด (open mind - open eye) มุมสูง (high view) มุมเทเล (telephoto view) มุมซียู (close up).

อย่าลืมว่า พุทธ คริสต์ อิสลาม ที่แท้ มาจากแหล่งเดียวกัน. เป็นพี่น้องกัน แต่แยกกัน สั่งสอน ให้เหมาะกับพื้นที่ อุปนิสัย. แต่มีคนไม่ดี อ้างเอาหลักคำสอนศาสดาตัวเอง ไปบิดเบี้ยว เพื่อประโยชน์ของตัวเอง และพวกพ้อง. มักมีเจตนาทางการเมืองแอบแฝง เพื่อให้เกิดความเสียหาย ผลกระทบต่อ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยวด้วย.

ครู น่าจะเข้าใจ เรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ให้ได้นะ อย่า ตื่นข่าว ตามพวกที่สร้างความแตกแยกกันในชาติ โดยการอ้างเอาศาสนา มาเป็นเงื่อนไข ... เรื่องนี้ ครูทุกคน ควรระวังให้มากๆ ครับ.

ขอเสนอ "ทฤษฎี กลไกการสร้าง ความรัก ความเกลียดชัง"
[เรียบเรียง เทียบเคียง จาก พุทธวจน (รักเพราะรัก, รักเพราะเกลียด, เกลียดเพราะรัก, เกลียดเพราะเกลียด)]

เอ ถูกตั้งโปรแกรม ไว้แล้วว่า แซด เลว ชั่ว อัปรีย์ จัญไร สถุล สัตว์นรก ฯลฯ. มาดู การทำงานของ กลไกการสร้าง ความรัก ความเกลียดชัง ดังนี้.

(1) กรณี เกลียด เพราะ เกลียด.

เอ เกลียด แซด, เอ จะเกลียด แซด เพิ่มขึ้น ถ้า บี ซี ดี พูดไม่ดี เกี่ยวกับ แซด. และ เอ จะรัก บี ซี ดี (เออ มึงรู้ใจกู มึงกะกู เป็นเพื่อนกันได้)

(2) กรณี เกลียด เพราะ รัก.

อี เอฟ จี พูดถึง แซด ในเชิงบวก, จะเกิดผลในทางตรงกันข้าม คือ เอ จะเกลียด อี เอฟ จี ตามไปด้วย (หนอย มันชั่ว เลว ฯลฯ มึงยังจะเข้าข้างมันอีก แถม คำอวยพร ไอ้ควาย!)

(3) กรณี รัก เพราะ รัก.

ทิศทางกลับกัน, เอ รัก วาย. เอ จะรัก วาย เพิ่มขึ้น ถ้า บี ซี ดี พูดสรรเสริญ เกี่ยวกับ วาย และ เอ จะรัก บี ซี ดี ตามไปด้วย (เออใช่ ใช่ ใช่ ... กูก็เหมือนมึง เราเป็นเพื่อนกันได้)

(4) กรณี รัก เพราะ เกลียด.

แต่ถ้า อี เอฟ จี พูดถึง วาย ในเชิงลบ, จะเกิดผลในทางตรงกันข้าม คือ เอ จะเกลียด อี เอฟ จี ไปทันที. ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน (โถ เขาอุตส่าห์ดี ขนาดนี้ ยังมองไม่เห็นอีกหรือ และแถม คำอวยพร ไอ้โง่! ตาไม่ถึง นรกจะกินหัว ฯลฯ)

จบทฤษฎี

ส่ดิน ชาวหินฟ้า
21 มีนาคม 2563

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


บทความ:
โลกฟิสิกส์ กับ โลกวิญญาณ แตกต่างกันอย่างไร?

อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า (2020)
18 ม.ค. 2563

โลก เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง ที่มีความประหลาด มหัศจรรย์ ที่มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ต้องเรียนรู้มัน. มนุษย์กับโลก คือสิ่งเดียวกัน ที่มนุษย์ทุกผู้ ไม่อาจปฏิเสธได้เลย.

"โลก เป็น อนุภาคฟุ้งฝอย (particles) ที่ลอยวน (stability) อยู่ใน จักรวาล (universe)
โลก เป็น อะตอมหนึ่ง (atom) ในแกแลกซี่ ทางช้างเผือก (Milky-way Galaxy)
โลก เป็น เซลล์หนึ่ง (cell) ของ ระบบสุริยะ (Solar system)
โลก เป็น ที่อยู่อาศัย (home) ของ ระบบชีวิต (Life system)
โลก เป็น อาณาจักร ของจิต วิญญาณ"

(ก)

โลก (world) ในความหมายของ นักวิทยาศาสตร์ มี 3 ขนาด คือ

(1) จักรวาล (Universe)
(2) โลกมนุษย์ (Earth)
(3) อะตอม (Atomic)

โลกทั้ง 3 ขนาด อยู่ภายใต้กฏฟิสิกส์พื้นฐานร่วมกัน คือ กฏกลศาสตร์-แรงโน้มถ่วง กฏอุณหพลศาสตร์-พลังงาน และ กฏสัมพัทธภาพ-มิติ. กฎทั้ง 3 ข้อ จะยึดโยงคุณสมบัติ มวล ที่มีความต่างขนาดกัน ให้อยู่รวมกัน เป็นกลุ่มก้อนได้. และโลกทั้ง 3 ดังกล่าว ต่างก็เป็นองค์ประกอบหนึ่ง ของสิ่งซึ่งมีมวลมากกว่า หรือ สิ่งที่มีมวลใหญ่กว่า ย่อมมีองค์ประกอบ อีกอันหนึ่ง ซึ่งเล็กกว่า ร่วมอยู่ภายใน. องค์ประกอบที่ว่านี้ แบ่งออกเป็น 2 สถานะ คือ วัตถุธาตุ และ จิตธาตุ. นั่นหมายความว่า โลกทั้ง 3 ขนาด ก็คือ สิ่งเสมือนมีชีวิต (visual life) นั่นเอง.

สถานะความเป็น วัตถุธาตุ จิตธาตุ ย่อมอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ 2 กฎ คือ กฏมีการปรุงแต่ง (สังขตธรรม - The conditioned) และ กฎที่ไม่มีการปรุงแต่ง (อสังขตธรรม - The unconditioned).

แต่ดูเหมือนว่า นักวิทยาศาสตร์ จะเข้าถึงโลกได้แค่สถานะความเป็น วัตถุธาตุ เท่านั้น. นั่นคือ ภารกิจหลักสำคัญทางด้านวิทยาศาสตร์ ในการอธิบายปรากฏการทางธรรมชาติ ที่มีสถานะเป็นวัตถุธาตุ.

โลก ในส่วนที่เป็น จิตธาตุ ยังไม่ปรากฏมีนักวิทยาศาสตร์คนใด หรือมีผู้ใด หรือศาสดาของศาสนา องค์ใด จะเข้าถึงและอธิบายเกี่ยวกับจิตธาตุ ได้ละเอียด ลึกซึ้ง เท่ากับ ตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ.

มนุษย์ เกิดมาแล้ว ต่างมีความปรารถนา ความสุข ความมั่นคง ความมั่งคั่ง ในการดำรงชีวิต. มนุษย์ จึงเรียนรู้โลก เพื่อปรับสถานะ ทั้งตัวมนุษย์เอง และ สิ่งแวดล้อม (โลก) ให้เอื้อต่อ การตอบสนองความปรารถนา ของตัวมนุษย์เอง. ศาสตร์ที่จำเป็น สำหรับมนุษย์ทุกยุคสมัย เพียง 2 สาขา ก็เพียงพอแล้ว คือ วิทยาศาสตร์ (science-physics) และ พุทธศาสน์ (Bhudda's words).

"พุทธศาสน์ แก้ปัญหาการเกิด อันเป็นต้นเหตุ แก่ เจ็บ ตาย
ลัทธิ ความเชื่อ แก้ปัญหาการตาย และหลังการตาย
วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหา ความแก่ ความเจ็บป่วย และทุขภาพ."

(ข)

โลก ในความหมายของ ตถาคต เรียกได้หลายชื่อ เช่น โลกธาตุ สังสารวัฏ (cycle of life), โลก (earth), ภพ (world).

โลกธาตุ มี 5 ส่วน ที่ซ้อนทับกันในมิติ คือ

(1) พรหม
(2) เทวดา
(3) มนุษย์
(4) กึ่งมนุษย์ เทวดา นรก
(5) นรก

ในโลกทั้ง 5 ส่วน ดังกล่าว, เป็นสถานที่กำเนิดของสัตว์ 5 ประเภท คือ

(1) เทวดาที่ไม่มีรูปร่าง และไม่มีอารมณ์รู้สึก อันเกิดจากการทำสมาธิ (ได้แก่ รูปพรหม 4 ระดับชั้น และ อรูปพรหม 4 ระดับชั้น).

(2) เทวดาที่ไม่ต้องอาศัยรูปกายแบบมนุษย์ แต่มีความรู้สึกรับรู้ เช่นเดียวกับมนุษย์ (ได้แก่ เทวดากามาวจร 6).

(3) มนุษย์ บนโลกที่เรารู้จัก รวมทั้งสัตว์เดรัจฉาน ทุกชนิด ที่ต้องการสภาพแวดล้อมแบบเดียวกับมนุษย์.

(4) สัตว์กึ่งมนุษย์-เทวดา-นรก, จำแนกได้หลายประเภท. บางชนิดอาศัยร่างกายแบบมนุษย์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง. และ มีถิ่นกำเนิด กระจายไปในโลกมนุษย์ก็มี ในโลกของพวกเขาเองก็มี ในโลกอบาย (นรก) ก็มี. สัตว์กึ่งมนุษย์-เทวดา-นรก เช่น เปรต โอปปาติกะสัตว์ คนธรรพ์ นาค ครุฑ ยักษ์ อสูร วลาหก.

สัตว์นรก จะมีสถานที่กำเนิดเพียงที่เดียว คือ ภพนรก. สัตว์นรก ไม่ต้องอาศัยร่างกายแบบมนุษย์ เช่นเดียวกับพวกเทวดา แต่ต่างกันที่ สัตว์นรก ไม่อาจปรุงแต่งร่างกายตามที่ชอบใจได้เลย แต่พวกเทวดา ทำได้.

นอกจากนี้ โลกอีกความหมายหนึ่ง ของตถาคต แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ
(พระองค์ ไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรง, วิเคราะห์ตามเนื้อความใน พุทธวจน - ผู้เขียน.)

(1) ขนาดสังสารวัฏ
(2) ขนาดรอบหนึ่งของการเกิด-ดับ ปฏิจจสมุปบาท
(3) ขนาดรอบการเกิด-ดับ ของ วิญญาณ

ขนาดสังสารวัฏ เป็นโลกของสัตว์อบาย เปรต ปุถุชน, เพราะมีรอบการเกิดดับของชีวิต เป็นจำนวนอนันต์รอบ. โลก ทั้ง 3 ขนาด ในความหมายของ นักวิทยาศาสตร์ ก็รวมอยู่ใน สังสารวัฏ นี้ด้วย.

รอบการเกิด ปฏิจจสมุปบาท ของสรรพสิ่ง ทั้งที่มีชีวิต (รูปธาตุ + นามธาตุ) และไม่มีชีวิต (รูปธาตุ เช่น มหาภูตรูป 4) แต่ละอย่าง ไม่เท่ากัน, แต่มีทิศทางของเวลา (ศรเวลา) แบบเดียวกัน. คือ มีการเกิด มีการเสื่อม และเสื่อมต่อเนื่อง ไปสู่การดับสลาย (แล้วเวียนไปสู่ การเกิดในรอบใหม่ ตามเหตุและปัจจัย). โลกมนุษย์ และ โลกอะตอม ของนักวิทยาศาสตร์ ก็จัดเข้ากับโลก ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน.

วิญญาณ มีรอบการเกิดดับ ที่รวดเร็วมาก, จึงเป็นโลกที่มีทั้งขนาด และสถานะ ที่เล็กที่สุด สั้นที่สุด. ไม่สามารถเปรียบเทียบขนาดของ วิญญาณ กับ อะตอมได้. เพราะคุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (อะตอม คุณสมบัติ วัตถุธาตุ, วิญญาณ คุณสมบัติ จิตธาตุ หรือ นามธาตุ).

(ค)

โลกทุกขนาด ทุกความหมายของพระศาสดา, ทั้งที่มนุษย์รู้จัก และที่นักวิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบ, ย่อมสรุปลงที่ 'ลักษณะ-สมบัติพื้นฐาน' อันเดียวกัน.

ลักษณะ-สมบัติพืิ้นฐาน อันเดียวกันนั้น เรียกว่า "สัตตะธัมมะธาตุ - The 7-Elements". ลักษณะ–สมบัติทั้ง 7 ประการ ประกอบด้วย

(1) มวล–อนุภาค (mass–particles)
(2) แรง–คลื่น (force–wave)
(3) อุณหภูมิ–พลังงาน (temperature–energy)
(4) มิติ กาลอวกาศ–รูปทรง (dimension and spacetime–form)
(5) วัฏจักร–อนันต์ (cycle–infinity)
(6) นามรูป–วิญญาณ–สังขาร (mind and matter–consciousness–corporeality) และ
(7) วิมุตติ–นิพพาน (integrity liberation | Nibbana).
 

การศึกษาเรียนรู้ สัตตะธัมมะธาตุ จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือการเรียนรู้ ซึ่งเรียกว่า มโนทัศน์สัมพัทธภาพ (conceptual relativity) เป็นสำคัญ. พระพุทธเจ้า ทรงใช้หลักสัมพัธภาพ ในการอธิบายหลักธรรมอันลึกซึ้ง มาก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะค้นพบ เป็นเวลาหลายร้อยปี. ซึ่งทั้งนักวิทยาศาสตร์ และพระพุทธเจ้า ต่างก็ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติอันเดียวกัน. ธรรมชาติอันเดียวกัน ย่อมอยู่ภายใต้กฏอันเดียวกัน. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ไปจนสุดทาง หรือสุดขอบของจักรวาล (ซึ่งพระองค์ รู้แล้วว่า ไม่มีอยู่จริง), ในขณะที่ นักวิทยาศาสตร์ ยังค้นหามันอยู่.

“นับว่าเป็นการสมควรแล้ว ที่นักวิทยาศาสตร์ มีขอบเขตศึกษาแค่เรื่องของวัตถุธาตุ. ถ้านักวิทยาศาสตรคนใดคนหนึ่ง ออกมาประกาศว่าตนเองตรัสรู้ธรรมอันวิเศษ หรือค้นพบอนุภาคพระเจ้าแล้ว. ก็ไม่ทราบว่า จะวางพระพุทธเจ้าและพระเจ้าองค์อื่นๆ ไว้ตรงไหน. ขณะเดียวกัน ถ้าพระพุทธเจ้า ประกาศทฤษฎีสัมพัทธภาพแทนไอน์สไตน์ และทฤษฎีบิ๊กแบง. ก็ไม่ทราบว่า จะมีนักวิทยาศาสตร์ไว้ทําไม เช่นกัน. ภารกิจร่วมระหว่างวิทยาศาสตร์–พุทธศาสน์ ยังคงดําเนินต่อไป อย่างสันติ.”

[สู่ดิน ชาวหินฟ้า. (2019). สรรพสิ่งสัมบูรณ์ ด้วยสัตตธัมมะธาตุ -
The 7-Element: Absolute of Everything].

"ที่สุดในจักรวาล" มีอยู่ในจักรวาลนี้ :

-สิ่งที่เล็กที่สุด กับ สิ่งที่ใหญ่ที่สุด
-สิ่งที่เบาที่สุด กับ สิ่งที่หนักที่สุด
-สิ่งที่หนาแน่นที่สุด กับ สิ่งที่เบาบางที่สุด
-สิ่งที่เข้มข้นที่สุด กับ สิ่งที่เจือจางมากที่สุด
-สถานที่ที่สว่างจ้ามากที่สุด กับ สถานที่ที่มืดมิดที่สุด
-สิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด กับ สิ่งที่อยู่ห่างไกลกันมากที่สุด
-แรงดึงดูดมากที่สุด กับ แรงผลักมากที่สุด
-สิ่งหรือสถานที่ที่ร้อนที่สุด กับ สิ่งหรือสถานที่ที่เย็นที่สุด
-สิ่งที่แข็งที่สุด กับ สิ่งที่อ่อนนุ่มที่สุด
-สิ่งที่มีความหนามากที่สุด กับ สิ่งที่มีความบางมากที่สุด
-สถานที่โกลาหล อึกทึกที่สุด กับ สถานที่เงียบสงัดที่สุด
-สิ่งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุด กับ สิ่งที่เคลื่อนที่ช้าที่สุด
-สิ่งที่มีอายุยืนยาวที่สุด กับ สิ่งที่มีอายุสั้นที่สุด
-สิ่งที่โง่ที่สุด กับ สิ่งที่ฉลาดที่สุด
-ความทุกข์ กับ ความสุข
-นรก โลก สวรรค์
-อัตตา กับ อัตถิตา
-นิพพาน หาได้ในกายนี้ ซึ่งอยู่ในจักรวาลนี้
จักรวาลนี้ คือ วัฏจักรของ อดีต ปัจจุบัน อนาคต.

[สรุปความจากหนังสือ: สู่ดิน ชาวหินฟ้า. (2019). สรรพสิ่งสัมบูรณ์ ด้วยสัตตะธัมมะธาตุ - The 7-Element: Absolute of Everything., [online]. www.igoodmedia.net].

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง]


เวทีความคิด:
คนเมา กับ อุบัติเหตุ ความเห็นที่เป็นสัมพัทธภาพ

อาจารย์สู่ดิน ชาวหินฟ้า (2019)
24 ธันวาคม 2562

ใกล้ปีใหม่แล้ว ให้ระวัง! 2 สิ่ง คือ คนเมา กับ อุบัติเหตุ

ผมมี "ปัญหา ส่งท้ายปีเก่า - ต้อนรับ คำตอบ ปีใหม่" 5 ข้อ ดังนี้

(1)
เพื่อป้องกัน นักดื่มหน้าใหม่ รัฐจึงต้องจัดเก็บ ภาษีเบียร์ ที่มีแอลกอฮอล์ 0% เสมือนเป็น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ท่านมีความเห็นอย่างไร?

(2) การกำจัดนักดื่ม และ จำกัดจำนวนนักดื่ม แบบถอนราก คือ งดผลิต จำหน่าย สุรา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทุกชนิด, แต่ในความเป็นจริง ทำไม่ได้ เพราะอะไร?

(3)
อุบัติเหตุบนท้องถนน สาเหตุเกิดจาก 'เมาแล้วขับ' หรือ 'ขับรถเร็ว' ?

(4)
เมาแล้วขับ ปร้บผิดคนเมา ทำถูกต้องแล้วหรือ? เพราะคนที่ดื่มเหล้า จะเมาทุกคน (คนดื่มเหล้าแล้ว ไม่เมา ไม่มี). ตกลง มันผิดที่เหล้า หรือผิดที่คน?

(5)
ขับรถเร็วแล้วเกิดอุบัติเหตุ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก การแซงผิดวิธี วิ่งผิดเล็น ฝ่าไฟเหลือง-ไฟแดง ตรงทางแยก ทางกลับรถ (u-turn), ตกลง มันผิดที่วินัยจราจร (ของคนขับ) หรือผิดที่ ความเร็วรถ?

(6)
มโนทัศน์สัมพ้ทธภาพ (conceptual relativity) คืออะไร?

คำถาม ข้อ (1) - (5)

-ถามนักดื่ม นักซิ่ง จะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง.
-ถามตำรวจ จะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง.
-ถามพ่อค้าขายเหล้า ขายรถ จะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง.
-ถามแพทย์ จะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง.
-ถามพระ จะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง.
-ถามสัปเหร่อ จะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง.

ซึ่งทุกคำตอบที่ได้ ถูกต้องทั้งหมด (ในมุมมองของเขา) ไม่ผิด (ถ้าตอบตามความเป็นจริง).

"คุณอยากได้คำตอบแบบใด ขึ้นอยู่กับว่า คุณถามใคร"

-ถามผม ผมก็จะตอบตามหลัก มโนทัศน์สัมพ้ทธภาพ ซึ่งถูกต้องตามหลักทฤษฎี มโนทัศน์สัมพ้ทธภาพ.

(6)
มโนทัศน์สัมพ้ทธภาพ คืออะไร ทำไมสำคัญนัก?

ผมพูดคำนี้มาเกือบครึ่งปี แต่ไม่มีคนถาม ว่ามันคืออะไร รูปร่าง ลักษณะ สมบัติ มันเป็นอย่างไร ... ไม่มีคนถาม ก็เข้าใจว่า ทุกคนเข้าใจ รู้จัก มโนทัศน์สัมพ้ทธภาพ เป็นอย่างดี หรือยังไม่รู้จัก.

[กลับไปหน้าสารบัญ บทความ หนังสือเล่ม ร้อยกรอง บทเพลง


thinking focus new idea today
คำคม คำคิด แง่คิด ชีวิตดี
 


igood media copyright
 
SUDIN CHAOHINFA, igoodmedia.net : Administration and Producer
Copyright © 2010-2021 intelligence good media homeschool.
All rights reserved. me@igoodmedia.net