ภาคที่ 1 บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล ตอนที่ 23 หมู่บ้านไร้เวลา
จาอู พาพวกเด็กๆ ทำพิธีศพง่ายๆ ให้แก่ มาลา. ร่างอันเละของเขา เพราะถูกแรงระเบิด ถูกฝังไว้ที่โคนต้นไม้ ข้างก้อนหินใหญ่. ไม่มีเวลาอำลากันนานนัก สี่ชีวิตที่เหลือรอด จากการถูกโจมตีของหนอนยักษ์ ก็เดินทางต่อไป. การเดินทางบนพื้นทรายที่ร้อนระอุ และบาดแผลที่ จาอู ได้รับ สร้างความล่าช้า ในการเดินไม่น้อย. พวกเขาทั้งเหนื่อย ทั้งหิว น้ำเหลือน้อยลงไปทุกที. จาอู เดินช้าลง อยู่รั้งท้าย เขาพยายาม พาร่างที่มีบาดแผลที่เท้า เดินให้ทันพวกเด็กๆ เขายังไหวอยู่ ยังไปต่อได้. จาอู ให้กำลังใจตัวเอง.
2 วันผ่านไป บนทะเลทราย,
จาอู ถูกทิ้งห่างจากเด็กๆ เข้าไปทุกขณะ. อุปสรรคบนท้องทะเล ที่เต็มไปทรายแทนน้ำ ต่างกับภูติร้ายในป่า อย่างสิ้นเชิง. ศัตรูที่น่ากลัวสำหรับทะเลทราย คือ ความร้อนและไม่มีน้ำ แต่ศัตรูในป่า คือพวกภูตผีปีศาจ และสัตว์ร้าย. แม้ว่า พวกภูติและสัตว์ร้าย จะมีปริมาณมากกว่า แต่เขาเป็นคนป่า ยังพอรู้วิธีสู้และหลีกเลี่ยงมันได้. แต่มันใช้ไม่ได้ กับทะเลทรายบ้าๆ นี่. แผลของจาอู บวมหนักขึ้น, เขาไม่อาจทนต่อเปลวร้อนของผืนทรายได้. รู้สึกว่า ตัวเองกลายเป็นตุ้มถ่วงของพวกเด็กๆ ไปเสียแล้ว.
สังข์ เดินนำหน้า ไปบนเนินทรายเตี้ยๆ, ทิ้งห่าง โสนน้อย และ เอื้อย เผื่อว่า เขาจะได้เห็นลำธารน้ำก่อนเพื่อน. เขาเดิน เดิน เดิน ไปเรื่อยๆ จะไม่ปล่อยให้ความท้อแท้ เป็นอุปสรรคในตอนนี้. แม้ว่าโชคที่รออยู่ข้างหน้า จะยังมองไม่เห็นก็ตาม. ถ้าขืนหยุดอยู่ที่นี่ ตายอย่างเดียว ไปข้างหน้ายังมีโอกาสรอด. นี่คือคุณสมบัติ ของผู้ที่แข็งแรงเท่านั้น. สังข์ หยุดชั่วครู่ หันไปมองข้างหลัง เห็น จาอู ล้มฟุบลง. เขาคงเดินต่อไปไม่ไหว, นี่ถ้าเขาไม่บาดเจ็บ ก็คงไม่เป็นแบบนี้. สังข์ จะไม่ทิ้ง จาอู ไว้ที่นี่เด็ดขาด, จึงเดินย้อนกลับไป ประคอง จาอู ให้ลุกนั่ง. ริมฝีปากของเขา แห้งผาก, สังข์ คว้ากระบอกน้ำของตัวเอง เปิดจุกออก เทใส่ปากของ จาอู. มันมีแค่อึกเดียว แต่ก็ช่วยยื้อชีวิตของเขาต่อไปได้. สังข์ สังเกต แผลที่ข้อเท้า บวมหนักขึ้น.
เขาส่ายหัว โบกมือ ให้สังข์ไปต่อ และให้ทิ้งเขาไว้ที่นี่. จาอู มองหน้าสังข์ ด้วยสายตาที่อ่านได้ว่า ... ขอโทษนะ เคน ที่ไม่สามารถส่งเด็กๆ ไปให้ถึงจุดหมายได้. สังข์ หลั่งน้ำตาอันแห้งผากออกมา แทนการบูชาหัวใจ และความเสียสละ ของเขา. ไม่มีใครที่ไหนอีกแล้ว ที่จะซื่อสัตย์ รักษาคำสัญญาได้ดีเท่าเขา. ... สังข์ เงยหน้ามอง ดวงตะวัน ที่กำลังแผ่รังสีความร้อน แบบไม่รู้จักปรานี สิ่งใดเลย บนผืนทะเลทรายแห่งนี้. เขาทำได้ดีที่สุด ก็แค่เชิงขอร้อง, จะทดสอบความอดทน ของพวกเขา ไปถึงไหน. ผู้ใหญ่ที่เดินฝ่าทะเลทราย ยังทนไม่ได้ แต่นี่ พวกเขาเป็นแค่เด็ก ที่ออกตามหาพ่อแม่ และบังเอิญผ่านมาทางนี้. พวกเขาไม่ต้องการ ดินแดนที่แสนโหดร้ายนี้เลย. ซ้ำยังจะมาพรากพี่เลี้ยง ที่เหลือเพียงคนเดียวไปเสียอีก, สวรรค์ ชั่งไม่ยุติธรรมเลย โหดร้ายเกินไป สำหรับบทเรียนชีวิตบทนี้.
โสนน้อย ยืนเรียกเพื่อน ที่บนเนินทราย. เอื้อย ที่อยู่ต่ำกว่า รีบเดินขึ้นไป, พอขึ้นไปถึงเนินทราย ตรงที่ โสนน้อย ยืนอยู่ มองเห็นทิวต้นไม้สีเขียวๆ อยู่ข้างหน้า. เอื้อย พยายามเอามือป้องแสงแดด เล็งสายตาออกไปให้ไกลสุด.
เอื้อย ส่งสัญญาณมือเรียก สังข์ ให้รีบตามขึ้นมาข้างบน. สังข์ ประคองจาอู เดินขึ้นมาที่เนินทราย. เอื้อย โสนน้อย หัวเราะดีใจ พากันเดินอย่างเร่งรีบ ไปที่กลุ่มต้นไม้สีเขียว. สังข์ จาอู สบตากัน อย่างมีความหวัง.
สังข์ พยายาม พยุงพาร่างของ จาอู ตามเพื่อนไป. พื้นดินทราย ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพื้นหินผสมดินแห้งๆ, ยิ่งใกล้กลุ่มต้นไม้สีเขียว ก้อนหินก็ยิ่งเยอะขึ้น. จากพื้นดินปนทรายแห้งๆ เปลี่ยนเป็นหินปนทรายชื้น. พวกเขาได้ยินเสียงสวรรค์ ไหลรินๆ เสียงนั้นเบามาก และเมื่อไปถึง ... ที่นี่ ก็คือสวรรค์บนดิน มีน้ำใสๆ ไหลเป็นทาง, ร่องน้ำกว้างราวๆ สองก้าวเดิน ทางน้ำไหล มุ่งสู่ทิศตะวันตก. สังข์ มองทวนกระแสน้ำ ที่อยู่ทิศตรงกันข้าม เห็น เอื้อย กับ โสนน้อย หัวเราะและวักน้ำสาดใส่กัน. ถัดห่างออกไปไกล เห็นหลังคาบ้านเรือน ปลูกติดกัน และห่างกันเป็นหย่อมๆ ล้อมรอบด้วยป่าที่เป็นหินแหลมๆ ผุดขึ้นมาจากแผ่นดิน และมีต้นไม้ขึ้นแซมเป็นระยะ ดูลานตาไปหมด.
ทั้งสี่ชีวิต มีเวลามากพอ ที่จะพักเอาแรงอยู่ที่นี่ ที่ริมลำธารเล็กๆ. พวกเขาทำเพิงพักชั่วคราว บังแสงแดด ด้วยผืนผ้าที่จุ่มน้ำบิดให้แห้ง เป็นหลังคาเพิงพัก. มีข้าวเหนียวก้อนสุดท้าย ซึ่งใหญ่กว่ากำปั้นนิดหน่อย และเนื้อแห้ง เพียงชิ้นเดียว แบ่งกันกิน พอแก้หิวไปก่อน แล้วค่อยไปเติมให้เต็มกระเพาะกันอีกที เมื่อไปถึงหมู่บ้านข้างหน้า. แต่ตอนนี้ ต้องจัดการบาดแผลของ จาอู เสียก่อน, มันบวมเป่งด้วยพิษอากาศร้อน. เอื้อย ล้วงเอาตลับยาสมุนไพร ในกระเป๋า เปิดฝาแล้วป้ายตัวยาสีเขียวขี้ม้า ออกมาทาที่บริเวณปากแผล และป้ายบนเศษผ้าที่สะอาด ทำเป็นผ้าพันแผล พันไปรอบๆ ข้อเท้า จนปิดปากแผลสนิท.
พวกเขายังคงพักอยู่ที่ลำธาร ซึมซับรับเอาความชุ่มชื้น จากลำธาร จนเป็นที่พอใจ, ยาสมุนไพร ช่วยลดความเจ็บปวด และลดอาการบวมของข้อเท้า จาอู ไปได้มาก.พร้อมๆ กับ ความร้อนของอากาศ ก็ลดลงไปมาก. จนกระทั่ง ถึงเวลาเย็น พระอาทิตย์เริ่มปรากฏเป็นดวง สีแดง ต่ำลงมาใกล้ถึงขอบฟ้า เป็นสัญญาณ บอกให้นักเดินทาง ไปกันได้แล้ว. สัมภาระของพวกเด็กๆ ก็ลดน้อยลงไปมาก เหลือแต่ถุงเสื้อผ้า ของที่จำเป็น และอาวุธคู่ตัว. จาอู ได้ไม้ค้ำยัน ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ พอที่จะช่วยตัวเอง เตินต่อไปได้ โดยไม่ต้องพยุงให้เป็นภาระ.
ทุกคนเดินทวนกระแสน้ำ ไปได้สักพัก, สังเกตได้ว่า จำนวนก้อนหินสองข้างทาง เริ่มหนาแน่นขึ้น ขณะที่ ต้นไม้ที่ขึ้นแทรกก้อนหิน ก็ลดจำนวนลง ทำให้เดินทางลำบากขึ้น. คราวนี้ เอื้อย เป็นคนนำทาง สังข์ คอยช่วยเหลือจาอู. เอื้อย พาเพื่อนๆ เปลี่ยนเส้นทางเดิน จากริมขอบฝั่งลำธาร มาเป็นกลางลำธารน้ำ เพราะมีก้อนหิน โผล่พ้นทางน้ำ วางระเกะระกะ ห่างกันเป็นระยะ สามารถไต่ หรือ เดินข้ามไปได้ไ่ม่ยาก.
พวกเขาเดินมาได้สักพัก, ก็มาถึงบริเวณ ที่เป็นแท่งหินโค้งวงกลมขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนดิน เหมือนเป็นประตู ให้คนเดินลอดผ่านได้. ความสูงจากพื้นดินขึ้นไป จนถึงยอดโค้ง เท่าหลังคาบ้านสองชั้น, ความโค้งของมัน คล้ายล้อเกวียนหนาๆ แต่ไม่มีดุม ไม่มีซี่ล้อ. ส่วนของวงกลม 3/4 ส่วน ตั้งอยู่บนพื้นดิน คล่อมลำธารฝั่งซ้ายและฝั่งขวา, อีก 1/3 ส่วน จมลงไปในพื้นลำธาร.
ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า มันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ สร้างโดยใคร เพราะมันเป็นหินโค้งแกะสลัก สีมรกต ที่สวยงาม. มีอักขระและรูปสัญลักษณ์แปลกๆ ในขนาดเท่าๆ กัน สลักไว้บนความโค้งของหินนั่น เป็นรูปสามเหลี่ยม รูปขดหอย รูปปิรามิด รูปนก รูปม้า รูปดวงอาทิตย์ รูปครึ่งวงกลม รูปหกเหลี่ยม ฯลฯ วางเป็นแถว เป็นแนว ดูเป็นระเบียบดี.
แสงสีส้มแดง ของอาทิตย์ยามอัสดง ส่องผ่านช่องที่เป็นรูกลมๆ ของแท่งหินแท่งหนึ่ง ที่อยู่ไกลออกไป กลายเป็นลำแสงสีส้มแดง ส่องตรงมาที่ประตูหินโค้ง. เกิดเงาขึ้น ที่บริเวณอักขระและสัญลักษณ์พวกนั้น ดูสวยงาม. ปรากฏการณ์ ที่เหมือนจงใจให้มันเกิดขึ้นที่นี่ เวลานี้ ไม่ได้เป็นที่สังเกตของแขกที่มาเยือนเลย. พวกเด็กๆ และจาอู ต่างพากันเคลื่อนตัว ผ่านประตูหินโค้งไป. จาอู รู้สึกวิงเวียน เหมือนพื้นดินหมุนติ้ว. พวกเด็กๆ ก็มีอาการไม่ต่างกัน, เอื้อย กับ โสนน้อย ทนไม่ได้ ถึงกับอาเจียน แต่ไม่มีอะไรออกมา.
สังข์ แค่รู้สึกคลื่นไส้ ยังพอพยุงตัวได้อยู่ เอ่ยบอกเพื่อน.
เมื่อพ้นแนวประตูหินโค้งไป อาการเมาก็หายไป. ... สักครู่้ พวกเขาก็ได้ยินเสียงดนตรีเบาๆ แว่วมาจากบ้านคน ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่.
ทุกคนสบตากัน แต่ก็ไม่มีใครคิดตั้งคำถาม เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลาเดียวกัน. มันเป็นความรู้สึกประหลาด ที่ต่างคนต่างก็มีอาการเมาเหมือนกัน แต่มองเห็นสีสรรต่างกัน. ในเมื่อยังหาคำตอบไม่ได้ ก็คงปล่อยให้มันเป็นปริศนาต่อไป. เรื่องอัศจรรย์แปลกประหลาดแบบนี้ พวกเขาก็ผ่านมามากแล้ว ส่งสัยไปก็ไม่เกิดประโยชน์, ขอแค่ว่า ให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย ก็พอใจแล้ว.
ความอัศจรรย์หนนี้ ต่างกับทุกคราวที่ผ่านมา, มันจะเป็นจุดเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขา ให้พลิกไปอีกด้านหนึ่ง. ไม่อาจทำนายเหตุการณ์ข้างหน้าได้ว่า พวกเขาจะมีโอกาสพบพ่อแม่หรือไม่. พวกเด็กๆ รู้สึกว่า ตัวเองก็โตพอที่จะช่วยตัวเองได้บ้างแล้ว. ต่อแต่นี้เป็นต้นไป พวกเขาจะต้องฝึกเป็นผู้ำนำ จะอาศัย จาอู ตลอดไปไม่ได้, อีกอย่าง ตอนนี้เขายังบาดเจ็บอยู่. เอื้อย สังข์ จาอู โสนน้อย เดินทางต่อ เพื่อให้ถึงบ้านคนก่อนมืด. พวกเขาไม่ทันสังเกต มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่ น้ำในลำธาร หยุดไหลเอาดื้อๆ เหมือนถูกแช่ขังไว้ในแอ่งน้ำ ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่ มันก็ยังไหลเป็นปกติ.
มาถึงเนินดินเตี้ยๆ บริเวณหน้าหมู่บ้าน ก็เป็นเวลาพลบค่ำ, สังข์ มองลงไปข้างล่าง ด้านทิศตะวันตก มองเห็นประตูหินโค้ง ตั้งทะมึนเป็นเงามืด คร่อมอยู่บนลำธาร. ด้านทิศตะวันออก คือฝั่งของลำธาร ที่มีบ้านที่ทำด้วยหินล้วน ตั้งขนานไปกับแนวลำธารน้ำที่อยู่ด้านหลัง, มันอาจเป็นหมู่บ้านโบราณก็ได้.
บ้านทุกหลังก่อด้วยอิฐหิน หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา. เท่าที่เห็นในตอนนี้ มีผู้คนราว 4 5 คน แต่งกายง่ายๆ ด้วยผ้าสีเทา. เดินเข้าออก จากบ้านหลังหนึ่ง ที่ปลูกอยู่ใจกลางหมู่บ้าน ซึ่งเป็นอาคารหินชั้นเดียว ประกอบด้วยห้องหลายๆ ห้อง ที่อยู่ติดกันราว 30 ห้อง แต่ละห้องมีระเบียงเชื่อมติดกัน. อาจจะเป็นโรงแรมก็ได้ แสงไฟจากตะเกียง ที่อยู่หน้าห้องของแต่ละห้อง ไม่สว่างนัก พอให้มองเห็นทางเดินระหว่างห้องต่างๆ. เสียงดนตรีสนุกสนาน ดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง ในอาคารหลังนี้.
น่าแปลกตรงที่ ทุกคนไม่ตอบสนอง แขกต่างถิ่น ที่เดินตรงเข้ามาในอาคารนี้เลย, ราวกับมองไม่เห็นพวกเขา. แต่พวกเด็กๆ ก็ไม่ใส่ใจ เพราะเหตุการณ์ประหลาดๆ พวกเขาก็เจอมามากแล้ว. เมื่อมาถึงที่บริเวณหน้ามุข สังข์ จะทำหน้าที่เจรจาแทน จาอู ซึ่งยังเดินกระพร่องกระแพร่งมาตลอดทาง.
สังข์ ผลักประตูเปิดเข้าไป ทุกคน เดินหายเข้าไปในห้องโถงใหญ่. ภายในเหมือนเรือนพัก ของมนุษย์ยุคหิน หรือไม่ก็เพิ่งจะออกจากถ้ำ, ยังใช้แสงสว่างจากตะเกียงอยู่เลย. ตะเกียง หลายดวง ติดตั้งอยู่ทั่วห้อง. ไม่มีใครสนใจแขกที่มาใหม่เลย. ที่นั่งรับรองแขก ก็เป็นแผ่นหินเรียบ มีคนนั่งคุยกัน 2 3 คน ด้วยภาษาพูดพึมพำ ฟังไม่รู้เรื่อง. อาจเป็นเพราะเสียงดนตรี อีกห้องหนึ่ง ดังจนกลบเกลื่อนรบกวนเสียงพูดคุยกัน. คนที่นี่แต่งตัวกันแปลกๆ ทุกคน, ดูแล้ว แยกไม่ออกว่าเป็นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะไว้ผมยาวถึงบ่า. อาจเป็นเพราะแสงตะเกียงก็เป็นได้ ทำให้สีผิวของคนในนี้ ดำแดงซีดๆ สวมเสื้อผ้าสีเทาเนื้อหยาบ ที่ถักทอแบบง่ายๆ.
สังข์ เดินนำไปที่ เคาน์เตอร์หิน ซึ่งเขาเดาเอาว่า คงจะเป็นเจ้าของที่นี่. คนร่างยักษ์สูงใหญ่กว่าทุกคน ในห้องนี้ หน้าตาค่อนข้างดุ จ้องมองแขกที่มาเยือนในยามค่ำ เหมือนจะถามว่า ต้องการห้องพักใช่ไหม.
จาอู ขยับตัวเข้าไปใกล้ พูดด้วยภาษาของเขา. พนักงานร่างยักษ์ ยักไหล่แบะมือ ไม่รู้ว่าเขาฟัง จาอู รู้เรื่องหรือไม่.
ดูเหมือนคนร่างยักษ์จะเข้าใจ แต่เขาไม่ยอมพูดจาอะไรเลย ได้แต่พยักหน้าสองสามครั้ง แล้วยื่นมือขออะไรบางอย่าง. ทุกคนไม่เข้าใจว่า เขาขออะไร. แต่ โสนน้อย พอจะเดาออก, เธอหยิบก้อนวัตถุสีดำก้อนหนึ่ง ในกระเป๋า วางลงบนพื้นโต๊ะเคาน์เตอร์หิน. เขามองมัน แล้วเบะปากนิดหนึ่ง ส่ายหัว ทำหน้าไม่พอใจ. เอื้อย จึงหยิบเอาก้อนวันถุสีดำของตัวเอง ขึ้นมา วางลงไปอีก 2 ก้อน.
เขาหยิบมันขึ้นมาส่องดู พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็วางมันลง ด้วยสีหน้าไม่พอใจ. คราวนี้ เอื้อย ยกถุงทั้งใบ วางโครม! ลงบนเคาน์เตอร์ แล้วเทสิ่งที่เหลืออยู่ข้างใน ออกมาจนหมด ทั้ง 4 ก้อน แล้วส่ายหน้า แบะมือ ใส่ชายร่างยักษ์. เขาครุ่นคิดสักครู่ ด้วยสีหน้านิ่งๆ แทนการตอบรับ แล้วเดินหายไปด้านหลังของเคาน์เตอร์.
คนร่างยักษ์ เดินออกมา พร้อมพวงกุญแจในมือ. สังข์ กำลัีงจะเอ่ยถามต่อ แต่เขายักหัวไหล่ให้แขกที่มาใหม่ เดินตามไป. พวกเด็กๆ และจาอู เดินตามเขา ออกจากห้องโถง ผ่านระเบียง ไปยังห้องพักห้องหนึ่ง ที่อยู่เกือบท้ายสุดของอาคาร. ประตูห้อง ทำด้วยไม้แผ่นหนาเก่า หุ้มด้วยเหล็กที่มีสนิมเกาะ แต่ดูแน่นหนามาก, มันคงถูกใช้งานมานาน. ชายร่างสูง เปิดมันออก เข้าไปข้างใน. เป็นห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก มีเตียงไม้ขนาดใหญ่เพียงตัวเดียว อยู่มุมห้อง ด้านที่ติดกับหน้าต่าง แบบบานกระทุ้ง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งอะไรมากนัก นอกจาก กระจกเงา ราวแขวนผ้า มีเตาผิงอยู่หนึ่งเตา. แต่ตอนนี้เป็นฤดูร้อน มันจึงยังไม่ถูกใช้งาน. ชายร่างสูง จุดไฟที่ตะเกียง สองดวง ที่อยู่มุมห้องตรงข้ามกัน แล้วชี้ไปที่ประตูที่อยู่ด้านข้าง เขาคงหมายถึงห้องน้ำ เขายื่นลูกกุญแจให้โสนน้อย แล้วก็ออกจากห้องไป โดยไม่พูดอะไร.
ทันทีที่วางข้าวของสัมภาระเสร็จ, เอื้อย บอกให้ จาอู นั่งบนเตียง แล้วรีบแกะผ้าพันแผลที่เท้าออก. บาดแผลฉกรรจ์ไม่น้อย เธอรีบทำความสะอาดโดยเร็ว ด้วยอุปกรณ์เท่าที่มี.
จาอู กับเด็กๆ พากันเดินออกจากห้อง ไปที่ระเบียงหน้าห้อง. ข้างนอกมืดสลัว แต่ยังพอมีแสงจันทร์ ส่องให้เห็นบริเวณภายนอก ดูเงียบสงบดี. พวกเด็กๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก, หลายปีมานี้ พวกเขาไม่เคยเจอสภาพแวดล้อมดีๆ แบบนี้มาก่อนเลย. ความหิว พาพวกเขาเดินตรงไปหาคนร่างสูง ที่หน้าโต๊ะเคาน์เตอร์.
เขาพาแขกหน้าใหม่ ผ่านแขกคนอื่นๆ กลางห้องโถง ไปยังอีกห้องหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกล. พอเปิดประตูเข้าไป อะไรกันนี่! ข้างในแออัดไปด้วยผู้คน ที่แต่งตัวเหมือนๆ กัน ทุกคนไว้ผมยาว ใบหน้าก็คล้ายๆ กัน เลยทำให้แยกไม่ออกว่า ใครเป็นหญิง ใครเป็นชาย. พวกเขากำลังสนุกสนาน กับการเล่นพนัน กิน สูบ ดื่ม หัวเราะ. ลำพังภาษาพูด ก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว เสียงหัวเราะ คำพูดเอะอะโวยวาย ดังเซ็งแซ่ ก็ยิ่งฟังไม่เป็นภาษามนุษย์. ที่ผนังด้านหนึ่ง มีนาฬิกาเรือนหนึ่ง ติดตั้งอยู่ แต่เข็มมันไม่กระดิก ก็ไม่รู้ว่าจะติดไว้ทำไม!
โสนน้อย เอื้อย รู้สึกตื่นกลัวเล็กน้อย แต่เพราะความหิว ไม่อาจปฏิเสธสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นได้. พวกเธอ ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้. แขกทั้งสี่คน ถูกพาให้ไปนั่งที่โต๊ะ อีกมุมหนึ่งของห้อง แต่คราวนี้ คนที่โต๊ะอื่นๆ ต่างพากันจับตามองมาทางคนทั้งสี่.
สักครู่ อาหารก็มาถึง จาอู และเด็กๆ ต่างตั้งหน้าตั้งตากิน ด้วยความเอร็ดอร่อย. ก็แน่ละ ไม่ได้กินอาหารดีๆ อย่างนี้มาหลายวันแล้ว. ความตื่นกลัวเมื่อสักครู่ หายไปทันท.ี ดูเหมือนว่า จาอูจะพอใจอาหารนั่นมาก จนออกหน้าออกตา. พวกเด็กๆ ก็เช่นกัน แต่ยังดูมูมมามน้อยกว่า.
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ จาอู รู้สึกพอใจมาก สนุกสนานไปกับเสียงเฮฮา ของแขกโต๊ะอื่น ที่ร้องรำทำเพลง จนถึงกับลุกขึ้นเต้นรำตามเสียงดนตรี ทั้งๆ ที่ขายังเจ็บอยู่. สังข์ เห็นว่า พวกเขาอยู่ที่นั่นนานเกินไปแล้ว และก็ง่วงด้วย, จึงสะกิดบอกให้ จาอู กลับห้องพัก. แต่เขากำลังเมาอาหารและเสียงดนตรี, เขาไม่ฟัง ไม่สนใจ สิ่งที่สังข์พูด. ยิ่งทำให้ สังข์ รู้สึกผิดสังเกต และเป็นกังวล ถ้าอยู่ในห้องนี้ต่อไป. สังข์ จับแขนของ จาอู แล้วกระชาก ให้เขารู้สึกตัว. ไม่รู้ว่าเขาเมาอาหาร หรือเมาเหล้ากันแน่, เขายังไม่มีอาการตอบสนอง. เอื้อย เข้าไปช่วยสังข์อีกแรง หิ้วปีกของ จาอู กลับห้องพัก.
เมื่อมาถึงห้องพัก เหมือนอยู่บนสวรรค์, รู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด. อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้า แล้วก็มาเจออาหารดีๆ หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนยาน. ตอนนี้ พวกเขาไม่ได้สนใจว่าจะจัดสรร แบ่งที่นอนบนเตียงอันเดียวนี่อย่างไร. เอื้อย โสนน้อย ล้มตึงลงบนเตียง เอาหัวไปคนละทาง, จาอู เลือกเอาตรงที่ว่างๆ กลางห้อง ปูผ้าที่พื้นเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนหงาย กางแขนขา เหมือนปลาดาว. สังข์ นอนกลิ้งข้างล่าง ติดกับเตียงนอน. ท่าทางนอนของแต่ละคน มีสภาพไม่ต่างจากคนจรจัด.
ความหลับใหล มักดูดกลืนเวลาและอายุของสรรพสิ่ง ให้เคลื่อนไหลไปอย่างเชื่องช้า. พวกเด็กๆ ไม่รู้เลยว่า เกิดเหตุการณ์อะไรข้างนอก. มีผู้คนมากมาย ทยอยเดินออกมาจากข้างใน ไปชุมนุมกันอย่างช้าๆ อยู่รายรอบอาคาร ราวกับว่า ข้างในนั้น มีสิ่งแปลกปลอม ที่พวกเขาจะต้องจัดการให้เสร็จ ในคืนนี้.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|