ภาคที่ 1 บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล ตอนที่ 24 จุดจบของพวกเอเลี่ยน
เสียงเคาะประตู ปลุก จาอู ให้ตื่นขึ้นกลางดึก. เขาลุกขึ้นนั่ง สลัดหัวไล่ความง่วง เอี้ยวตัวหันไปมองรอบๆ, พวกเด็กๆ ยังอยู่กันครบ เขาหลับไปนานเท่าไหร่แล้วนี่. ปึ๊ก! ปึ๊ก! ปึ๊ก! ... เสียงนั่น ดังขึ้นอีกครั้ง, จาอู เอามือขยี้ตา เขาคิด ... ใครกันที่ถือวิสาสะ มาเปิดประตูในยามวิกาลแบบนี้. ประตูค่อยๆ เปิดแง้มออกช้าๆ. จาอู พยายามเพ่งมอง ฝ่าความมืดไปที่ประตู ...
เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิด เกิดขึ้นกับ ซู ข้างนอกนั่น. ซู กำลังวิ่งหนีสิ่งหนึ่ง ในอุโมงค์. มันมีร่างเป็นก้อนมวลน้ำใสๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง เท่าความสูงของซู กลิ้งไล่ตามหลังเขามา. ซู ยังไม่ตายรึนี่.
เสียงประตู ปิด เปิดดัง แอ๊ด!!! ปรากฏร่างของ อัง ยืนปรากฏกายที่ประตูห้อง. จาอู ตื่นตระหนก และประหลาดใจ ชนิดที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ... นี่เป็นภาพหลอน หรือของจริงกันแน่ หรือว่าเขาฝันไป. เสียงอังเรียก จาอู ให้ลุกขึ้น แล้วชี้มือออกไปข้างนอก บอกให้เขาออกไปจากห้องนี้ แต่อาการและเสียงที่บอกนั้น ดูมันเชื่องช้าเหลือเกิน.
ซู วิ่งหนีก้อนมวลน้ำ หลุดจากปากอุโมงค์ ออกมาที่พื้นดินว่างโล่ง. แต่แล้ว ต้องเผชิญหน้ากับ ประกายสายฟ้า ที่ดักรอเขาอยู่ข้างหน้า. เหมือนหนีเสือปะจระเข้, เขาวิ่งหลบไปอีกทาง ตามที่มีเสียงกระซิบบอก.
จาอู เรียกสติของตัวเอง กลับคืนมา เพื่อมาตอบข้อสงสัย, อัง มาที่นี่ได้อย่างไร, เขาตายไปแล้วนี่ ที่เรือนปีศาจ. เสียงอันหย่อนยานของ อัง กับอาการเชื่องช้าของเขา บอก จาอู ซ้ำอีกครั้ง ให้เขารีบพาเด็กๆ ออกไปจากห้องนี้ โดยเร็ว.
ซู มองเห็น สังข์ ยืนรอเขาอยู่ข้างหน้า. ในมือของเขา ถือวัตถุนำทางไว้แน่น. นั่นมันเป็นของที่เขาขโมยมาจาก สังข์ นี่. ซู วิ่งเป็นแนวซิกแซก หลบหลีก ประกายสายฟ้า ที่แล่นไล่ตามเขา ทั้งด้านหลังและด้านข้าง จนเกือบจะถึงตัวเขา. เขาทั้งวิ่ง ทั้งตะโกน บอกให้สังข์ รีบออกไปจากที่นั่น.
จาอู พยุงตัวลุกขึ้นยืนลังเล. อัง เห็นเขายังไม่ขยับ จึงสาวเท้าเดินเข้ามาหา อย่างเชื่องช้า, แต่แล้ว ... ทันใดนั้น! ร่างของ อัง ค่อยๆ ย่อยสลาย กลายเป็นเศษละอองเถ้าถ่าน เหลือแต่โครงกระดูกขาวโพลน เดินเข้ามาหา จาอู.
ประกายสายฟ้า แล่นไล่มาถึงซู แล้วค่อยๆ กลืนร่างของเขาจากด้านหลัง ขณะที่ปากและมือ ก็ตะโกนให้ สังข์ รีบออกไปจากที่นั่น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า. สายฟ้ากลืนกินร่างของซู มาจนถึงขา แขน สลายเป็นละอองเถ้าถ่าน ปลิวว่อนหายไปในอากาศ.
จาอู กับ สังข์ ตกใจตื่น ร้องลั่นห้อง พร้อมๆ กัน. ปลุก เอื้อย กับ โสนน้อย ให้ตื่นขึ้นมา. สังข์ สบตา จาอู เหมือนต้องการคำยืนยันว่า เหตุการณ์ประหลาดเมื่อสักครู่ เป็นความฝัน ใช่หรือไม่?
มันเกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ พร้อมกันได้อย่างไร เป็นคำถามที่ไม่ควรรอคำตอบ, เพราะนั่นคือ สัญญาณอันตราย ที่มาเตือนพวกเขา ผ่านมิติสัมผัสที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด. สังข์เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น รีบเก็บข้าวของสำคัญติดตัว ทันที.
ไฟในห้องดับวูบลง, คราวนี้ไม่ต้องมีใครสั่งซ้ำสอง. ทุกคนตะลีตะลาน รีบเก็บข้าวของโดยเร็ว. สังข์มองลอดหน้าต่างออกไปข้างนอก, มีคนยืนเกะกะเต็มลานหน้าบ้าน. พวกเขามาทำอะไรกัน ดูมันไม่ปกติแน่ๆ. ทั้งสี่ชีวิต เคลื่อนกายออกจากห้อง มายืนที่ระเบียง. แสงสลัวของดวงดาวจากท้องฟ้า มองเห็นเงาผู้คนมากมาย ยืนตะคุ่มเต็มไปหมด.
อะไรกันนี่! ... มวลก้อนน้ำกับเสียง บล๊วก! ๆ ๆ มันมาจากไหนกัน. มันพยายาม จะก่อตัวเป็นร่างคน บนระเบียงนี่. สังข์ เอื้อย โสนน้อย จาอู ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก, มันเหมือนภาพฝันเมื่อสักครู่ไม่มีผิด ... ทันใดนั้น!
เอื้อย ตะโกน ขณะที่ลำตัวซีกขวาของ ซู โผล่ออกมาจากก้อนมวลน้ำ. เขาพยายาม ยื่นของที่อยู่ในมือ ให้สังข์. สังข์ ขยับตัวจะเข้าไป แต่ถูก จาอู รั้งไว้.
สังข์ ลังเล. ซู ตัดสินใจ โยนวัตถุนำทางออกไป สังข์รับมันไว้, ก่อนที่มวลน้ำจะดูดเอาร่างของซู พาเขาไหลกลิ้ง ลงจากระเบียง หายไปในความมืด.
แต่ไม่ทันแล้ว, ประกายสายฟ้า กำลังก่อตัวขึ้น ดักเหยื่อยของมันไว้ อีกด้านหนึ่งของระเบียง. สังข์ รู้ว่า เป้าหมายของสายฟ้ามัจจุราช คือตัวเขา. เร็วเท่าความคิด เขากระโดดเบี่ยงหลบมัน จากด้านข้างของระเบียง มาอยู่บนลานดิน หน้าอาคาร. แต่ข้างล่าง ก็เจออุปสรรค ... นี่มันร้ายยิ่งกว่า หนีเสือปะจระเข้! คนที่ยืนตายซากพวกนี้ ก็ขวางไว้ ไม่ให้เขาหนีได้ง่ายๆ. เอื้อย เปิดทางให้เพื่อน ด้วยการวิ่งชนให้มันล้มไปอีกทาง. มันก็แค่ซากศพ ร่างที่ยืนขวางทาง ล้มลงไปพร้อมกับแรงและร่างของ เอื้อย. โสนน้อย ตามมา ฉุดเอื้อยให้ลุกขึ้น ไปต่อ.
ประกายสายฟ้ามัจจุราช รุกไล่ตามมาติดๆ ร่างคนที่ยืนขวางอยู่ ไม่อาจต้านทาน ประจุไฟฟ้านรกนั่นได้ ทุกๆ ที่ที่มันผ่านไป ร่างเหล่านั้นก็จะถูกเผา สลายเป็นจุณ. สังข์ มัวพยายามหลบหลีก ให้ห่างจากมัน ทำให้พลัดหลงกับ เพื่อนชั่วขณะ. ซากศพที่ยืนทมึน เป็นอุปสรรค ให้เขาหลบหลีกได้ลำบาก. ขณะที่สายฟ้านรกนั่น มันก็ไล่ตามติด ไม่ลดละ เหมือนกับโกรธแค้นกันมาเป็นชาติ. สิ่งที่จาอูทำได้อย่างมากขณะนี้ คือ อยู่ให้ห่างจากพวกปีศาจนั่นเข้าไว้. เขารู้ว่า เป้าหมายของมันคือ ของที่อยู่ในมือของ สังข์. ถ้าพวกมันเอาสิ่งนั้นไปได้ นั่นหมายถึงว่า ชีวิตของสังข์มันก็เอาไปด้วย.
บริเวณลานหน้าอาคาร เต็มไปด้วยซากฝุ่นผง และกลิ่นเหม็นไหม้. ซากศพที่ยังยืนอยู่ ถูกสายฟ้านรกนั่น เผาไปมากกว่าครึ่ง. แต่มันก็ยังไม่บรรลุผล, สังข์ ถอยหลังไป ชนกับร่างหนึ่ง ที่ยืนเกะกะอยู่หลังเขา จนล้มลงไป. ประกายสายฟ้าปีศาจ ได้โอกาส พุ่งตรงไปหาสังข์ทันที แต่จาอูกระโดดเข้าขวางไว้.
ร่างของ จาอู สั่นสะท้าน เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต แล้วสลายไปอย่างรวดเร็ว. มันคงโกรธจัด ที่ไปขัดขวางเหยื่อของมัน. คราวนี้มันใจเย็นลง ไม่ผลีผลามเหมือนทุกครั้ง ราวกับมันรู้ว่า เหยื่อของมันหมดทางหนีแล้ว ... ช่วงวินาทีวิกฤตินี่เอง สังข์ ทั้งตกใจ ทั้งเสียใจ ที่ต้องมาเสียพี่เลี้ยงคนสุดท้ายไป ต่อหน้าต่อตาโดยไม่ได้อำลากัน, มันชั่งรวดเร็วเหลือเกิน. หรือว่า มันถึงคิวของเขาแล้ว ที่พวกปีศาจจะมาเอาชีวิตไป. จังหวะเดียวกันนั้น เอื้อย กับ โสนน้อย ก็โผล่เข้ามา.
แต่เธอสองคน ไม่ยอมทิ้งเพื่อนไปง่ายๆ, สายฟ้าปีศาจ ค่อยๆ คืบคลาน เข้าหาร่างของ สังข์ อย่างช้าๆ. นี่มันเหมือนเหตุการณ์ ลูกแกะ อยู่ในวงล้อมของหมาป่าชัดๆ ... ห่างออกไปไม่กี่ก้าว ปีศาจมวลก้อนน้ำ มันกลับมาอีกแล้ว. มันคงผิดหวัง ที่ลากเอาเหยื่อก่อนหน้านี้ไปผิดคน, แน่ละมันทั้งสองตัว ต้องการเหยื่อชิ้นเดียวกัน.
สังข์ ลังเล ตัดสินใจไม่ถูก, ศัตรูกับศัตรู มันเผชิญหน้ากันเอง ถ้าให้วัตถุนำทางนี่ อีกตัวหนึ่งไป แต่ก็ใช่ว่าจะรอด เพราะปีศาจอีกตัว มันก็ยังอยู่ ... วินาทีวิกฤตเช่นนี้ เพื่อนจะไม่ยอมทิ้งเพื่อนเด็ดขาด. พวกเขาทั้งสามคน ร่วมชีวิตเป็นเพื่อนกันมาหลายปี ผ่านทุกข์ผ่านสุข มาด้วยกัน เมื่อยามคับขันเช่นนี้ จะตาย ก็ขอตายด้วยกัน. ... มันไม่ยุติธรรมเลย สำหรับพวกเด็กๆ ที่ต้องมารับชะตากรรม ที่พวกเขาไม่ได้ก่อ.
โสนน้อย กับ เอื้อย วิ่งโผเข้าไปกอด สังข์. ร่างของเด็กทั้งสาม สั่นสะท้านด้วยความกลัว. เสียงร้องไห้ของพวกเขา ไม่ได้ทำให้พวกปีศาจ รู้สึกสงสารแต่อย่างใด.
มันโหดร้ายเกินไป สำหรับเด็กอายุแค่ 11 ขวบ ที่ต้องมาเผชิญหน้า กับปีศาจเอเลี่ยน ที่ร้ายกาจที่สุด. แม้มนุษย์อย่างเรา ยังรู้สึกเลยว่า ขอเลือกตายด้วยวิธีอื่น ดีกว่าที่จะต้องมาเผชิญหน้ากับมัน. สังข์ เอื้อย โสนน้อย ไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรเช่นนี้ มาก่อนเลยในชีวิต.
ขณะที่ ปีศาจมวลน้ำ กับปีศาจสายฟ้า เผชิญหน้ากัน. ดูเหมือนว่าพวกมัน ลังเลครู่หนึ่ง ราวกับว่า ใครจะเข้าถึงเหยื่อก่อนกัน. ทันใดนั้น! ...
ลูกไฟกลมสีน้ำเงิน เส้นผ่าศูนย์กลาง เท่าความสูงของคนหนึ่งคน ก็สว่างวาบขึ้น ในบริเวณนั้น. หักเหความสนใจของปีศาจทั้งสอง. เมื่อดวงไฟสีน้ำเงินนั้น หดเล็กลง และหายวับไป, ก็ปรากฏร่างของ นาเคนทร์. เขามาทันเวลาพอดี เด็กทั้งสามคน ดีใจจนบอกไม่ถูก.
เคน บอกเด็กทั้งสาม แล้วชูสิ่งหนึ่งที่อยู่ในมือ มันคือ วัตถุนำทางนั่นเอง. สังข์ รู้สึกแปลกใจ ของนั่น ไปอยู่ในมือของเคน ตั้งแต่เมื่อไร แต่เอ๊ะ! อีกอัน มันก็ยังอยู่ในกระเป๋าหนังอยู่นี่ ที่แท้มันมีสองอัน! รึนี่
เคน ชูสิ่งที่อยู่ในมือ ส่ายไปมา เป็นการยั่วให้ปีศาจนอกจักรวาล เปลี่ยนเป้าหมาย, ว่าสิ่งที่มันต้องการจริงๆ ไม่ใช่เด็ก แต่คือสิ่งนี้. ... มันได้ผล, เอเลี่ยนมวลน้ำ กับ เอเลี่ยนสายฟ้า ขยับห่างออกมาจากเด็ก แล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้าหา เคน. เขารู้ความประสงค์ และนิสัยของพวกมันดี, รวมทั้งรู้จุดอ่อน ของพวกมันด้วย. พวกมัน ไม่กล้าเข้าปะทะกันตรงๆ แน่. เคน จึงจำเป็นต้องยั่วให้มันลืมตัว และตอนนี้ ก็ถึงเวลาของพวกมันแล้ว.
เขาขว้างวัตถุนำทาง รูปแท่งกลมสามแฉก ออกไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะไกลได้ เพื่อให้พ้นระยะอันตราย. เอเลี่ยนประกายสายฟ้า กับเอเลี่ยนมวลก้อนน้ำ พุ่งเข้าหาวัตถุเป้าหมาย อย่างลืมตัว ดุจเดียวกับพลังปรมาณู 2 พลัง ชนปะทะกัน. ก่อเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่อัดแน่นและพลุ่งพล่าน. ก่อนเข็มวินาทีกระดิก!! ก็บังเกิดแสงสว่างวาบ ราวกับศูนย์กลางของดวงอาทิตย์.
เสียงระเบิดดังสนั่น ราวกับระเบิดปรมาณู ถูกทิ้งที่เกาะฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น. หยุดห้วงเวลา ความคิด และประสาทสัมผัส ไปชั่วขณะ.
เมื่อทุกอย่างสงบลง แสงแรกแห่งอรุณ ก็โผล่พ้นเหลี่ยมเขาหิน. ลานดินเต็มไปด้วยฝุ่นผง ผู้คนที่ยืนแข็งทื่อ อยู่เมื่อสักครู่ หายไปหมด. สังข์ มองไปรอบๆ, คงเหลือแต่อาคารบ้านเรือน ที่ว่างเปล่า ไร้ผู้คน เงียบสงัด. ไม่มีแม้แต่เสียงพูด หรือเสียงดนตรี. เคน ก็หายไป เห็นแต่วัตถุประหลาด วงแหวนท่อสีดำ สูงเท่าตัวคนยืน วางจอดอยู่. เขาเล่นตลกอะไรกับพวกเด็กๆ อีกแล้วหรือนี่. สังข์ เอื้อย โสนน้อย ยืนสำรวจร่าง ที่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด, ดูมอมแมม เหมือนผ่านการเล่นฝุ่นดินและเถ้าถ่าน. ที่เหลี่ยมหิน บนเนินข้างลานดิน ด้านทิศตะวันออก, มีบรุษร่างสูงใหญ่ โผล่ทะลุแสงตะวันยามเช้า. เขาเดินขึ้นมา จากขอบเนินลานดิน ... โสนน้อย ตะโกนลั่น.
เด็กทั้งสาม วิ่งเข้าไปหา เคน. เขาชูวัตถุนำทางให้พวกเด็กๆ เห็น แล้วทรุดตัวลงนั่ง กางแขนออก รอรับขวัญของเด็กทั้งสามคน ด้วยความปลื้มปีติ.
สังข์ ก้มหน้านิ่ง น้ำตาซึม. เคน เข้าใจในความรู้สึกของเด็กๆ. เขาไม่น่าถามในตอนนี้เลย, เขาน่าจะรู้ดีว่า คณะพี่เลี้ยง ที่เขาส่งมากับเด็กๆ อาจต้องมาตายในระหว่างทาง ที่แสนโหดร้าย. เคน เองก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย จนพูดไม่ออก, หากจะกล่าวยกย่อง จาอู และเพื่อนๆ คือบุรุษผู้เสียสละ ก็ยังน้อยเกินไป. พวกเขาไม่ได้รับอะไร ตอบแทนเลย แม้แต่ ชีวิตรอดกลับไป พบลูกเมียมิตรสหาย. ถ้า เคน มากับพวกเด็กๆ เสียแต่ตอนนั้น เหตุการณ์ร้ายๆ เหล่านี้ คงไม่รุนแรง หรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้.
สังข์ เดินเข้าไปไกล้ๆ แล้วลูบคลำมันอีกครั้ง. เขาเคยเห็น เจ้าสิ่งนั้นแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่อยู่ในบ้านของเคน ที่หมู่บ้านป่า. ตอนนั้น เคน ยังล้อเล่นเลยว่า อย่าเข้าไปใกล้มัน อย่าไปยุ่งกับมัน ระวังจะถูกมันกินเข้าไป ทั้งๆ ที่มันก็ไม่มีฟันสักซี่. เขาคงให้มันกลืนเข้าไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกมาที่นี่.
เคน พูดยาว จนพวกเด็กๆ รู้สึกผ่อนคลาย หายเศร้าชั่วขณะ. แต่ความรักความผูกพัน และความกตัญญู ยังฝังแนบแน่น อยู่ในวิญญาณของพวกเขา จนไม่อาจลบลืมไปจากความทรงจำ. ความรู้สึกอบอุ่น ในอ้อมกอดกลับมาอีกครั้ง. ครั้งนี้มันยาวนานกว่าครั้งก่อนๆ ราวกับว่า กอดนี้ คือกอดอำลาสุดท้ายจริงๆ ที่ต่อจากนี้ไป พวกเขา อาจจะไม่มีโอกาสพบกันอีก.
เมื่อพบกัน ก็มีวันจากกัน กฏธรรมชาติ ไม่มีอะไรแน่นอน. วันนี้ อาจไม่มีอยู่จริง เมื่อวานก็คือ อดีตของวันนี้ หรือไม่ก็คือ อนาคตของเมื่อวาน, พวกเขาสามคน จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกงอแง แบบเด็กๆ ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ไม่มีพี่เลี้ยง พวกเขาต้องพึ่งตัวเอง. โสนน้อย สังข์ เอื้อย โบกมืออำลา เคน.
เคน พาตัวเองไปยืนที่เครื่องจักรกล ตรงท่อสีดำ. ที่มือขวา นิ้วทั้งห้า ขยุ้มจับวัตถุนำทาง ยื่นไปตรงกลางของท่อกลมสีดำ, มันคือกุญแจ สำหรับเปิดเครื่องนั่นเอง. ... สักครู่ ท่อวงแหวนสีดำ ก็ส่งเสียงคราง เหมือนสตาร์ทเครื่องบินเจ็ท. เส้นลำแสงสีน้ำเงิน ถูกเร่งความถี่ ให้เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า สว่างจ้า อยู่ในกรอบของท่อวงกลม. ลำแสงเส้นสามเหลี่ยม ค่อยๆ หดตัวเข้าไปยังจุดศูนย์กลาง ตามแนวกุญแจสามแฉก ที่ค่อยๆ หมุนไปทางซ้าย. มันเป็นความน่าอัศจรรย์ สำหรับเด็กๆ, ลำแสงสามเหลี่ยมนั่น หดตัวลง ดูดเอา เคน พร้อมกับเครื่องจักรวงแหวนนั่น หายวับไป พร้อมกับเสียง.
สังข์ หยิบวัตถุนำทางอีกอันขึ้นมาดู. จริงๆ ด้วย! แสงกระพริบจากหลอดไฟเล็กๆ ค่อยๆ แผ่วลง และดับไปในที่สุด. มันไม่ต้องทำหน้าที่ เป็นวัตถุนำทางอีกต่อไปแล้ว. แต่เคนบอกว่า มันคือวัตถุนำโชค. สังข์ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า มันจะนำโชคอะไรมาให้.
สังข์ เอื้อย และ โสนน้อย เก็บสัมภาระที่จำเป็น และที่เหลืออยู่ พากันเดินย้อนกลับไปเส้นทางเดิม. เมื่อเดินผ่านประตูหินโค้ง อาการเมา รู้สึกวิงเวียน ก็กลับมาอีกครั้ง. แต่หนนี้ ไม่รุนแรงเหมือนเมื่อตอนขาเข้าไป. และเมื่อพวกเขาเดินจากไป น้ำในลำธารก็ไหลเป็นปกติ.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|