igood media
HOME   |  Articles - Book - Poem - SongAUTHOR  |  FILM SCHOOL  |  COMMUNICATION ARTS  |  MY BLOG |

Blog film school

My Media channel

blog

1 หน้าแรก
2
บทความ
หนังสือเล่ม
ร้อยกรอง เพลง
3
บทภาพยนตร์
ภาพยนตร์สั้น
วีดิโอ มิวสิควีดิโอ
4
วิชาเรียนนิเทศศาสตร์
ตำราเอกสาร
สื่อการเรียน
 

 

 

 

สถานที่ควรรู้ และสิ่งที่ปรากฏ ในเขตมิติของเวลา

(01) เขตมิติเวลา (event horizon of space–time) และฤดูกาล

เขตมิติเวลา จะปรากฏขึ้นในบริเวณสนามโน้มถ่วงควอนตัม ซึ่งบริเวณนี้ แรงโน้มถ่วงอันยิ่งยวด จะส่งผลต่อความเร็วของแสงและสัดส่วนของเวลา. บุคคลที่อยู่ข้างใน (ผู้ถูกสังเกต) อาจไม่รู้สึกในความเปลี่ยนแปลง แตกต่างของเวลา แต่บุคคลภายนอก (ผู้สังเกต) จะรับรู้ถึงความปั่นป่วนของ แสงและเวลา. เขตมิติเวลา มีหลากหลายขนาด หลากหลายความยาวนาน และปรากฏได้ทั่วไปเอกภพ ซึ่งเรียกว่า “หลุมดำ” (black hole) มีเส้นผ่าศูนย์กลาง หลายขนาด และมีพลัง G (แรงโน้มถ่วง - garvity) แตกแต่งกันมากมาย.

ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป, ขอบฟ้าเหตุการณ์ (event horizon) คือ ขอบเขตของมิติเวลา หรือ ปริภูมิ-เวลา (space-time dimension) ซึ่งโดยมาก มักเป็นพื้นที่โดยรอบของหลุมดำ ที่ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ (วัตถุ, บุคคล-ผู้ถูกสังเกต, ข้อมูล) ไม่อาจส่งออกมาจากบริเวณนั้นได้ ทำให้ ผู้สังเกตการณ์ภายนอก (ผู้สังเกต) จึงไม่สามารถรับรู้ได้. แสงที่แผ่ออกมาจากภายใน ขอบฟ้าเหตุการณ์ จะไม่มีวันเดินทางมาถึงผู้สังเกต. วัตถุใดๆ ที่ล่วงผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ ไปจากฝั่งของผู้สังเกต จะมีสภาวะที่ช้าลง และดูเหมือนจะไม่สามารถ ข้ามผ่าน ขอบฟ้าเหตุการณ์ไปได้. วัตถุที่เคลื่อนที่ ในเขตขอบฟ้าเหตุการณ์นั้น จะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง. อันที่จริงได้ข้ามผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไปแล้ว ในระยะเวลาที่แน่นอนขนาดหนึ่ง.

มีขอบฟ้าเหตุการณ์ที่พิเศษ อยู่หลายประเภท. รวมถึงชนิดที่แตกต่างไป โดยสิ้นเชิง เช่น ที่พบรอบๆ หลุมดำ. ขอบฟ้าเหตุการณ์อื่นๆ ที่ไม่เหมือนใคร เช่น ขอบฟ้าเคาชี และ คิลลิง (Cauchy and Killing horizon), ขอบฟ้าที่เป็นทรงกลมโฟตอน และ ทรงกลมเออร์โกสเฟียร์. ขอบฟ้าทั้งหลายเหล่านี้ ได้รับการยืนยันจาก ทฤษฎี Reissner-Nordstr?m solution, ขอบฟ้าอนุภาค และ ขอบฟ้าจักรวาลวิทยา ในวิชาจักรวาลวิทยา   เป็นต้น.

เขตมิติเวลา ที่อยู่บนโลกมนุษย์ และมนุษย์รู้จัก มี 4 บริเวณ คือ (1) บนแผ่นดินโลก (2) ในมหาสมุทร (3) ท้องฟ้าบริเวณอุณหภูมิต่ำ และ (4) บริเวณอุณหภูมิสูง เช่น บริเวณที่มีการระเบิดของนิวเคลียร์.

เขตมิติเวลาบนแผ่นดิน อยู่ที่บริเวณเทือกเขาตะนาวศรี ชายแดนระหว่างประเทศเมียนมา กับ ประเทศไทย. เขตมิติเวลาในมหาสมุทร อยู่ที่มหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณที่เรียกว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา. อาจเป็นไปได้ว่า เที่ยวบิน MH370 บินเข้าไปในเขตรอยต่อ ระหว่าง เขตมิติเวลาในบริเวณอุณหภูมิสูง (ในขณะถูกยิงด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ ของนาวิกโยธินสหรัฐ) กับ เขตมิติเวลาบนแผ่นดิน (ในขณะตก). นั่นคือ การเกิดรูหนอนเชื่อมต่อกาลเวลา ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า สะพานไอน์สไตน์-โรเซน (Einstein-Rosen bridge) นั่นเอง.

ยุคฤดูกาลของเขตมิติเวลา แบ่งออกเป็น 2 ฤดู หรือ 2 ช่วง คือ 'ทวิกาล' หรือ กาลแห่ง สุริยัน-จันทรา และ 'สนธิมาส'. ทวิกาล วันหนึ่งจะมีกลางวันและกลางคืน เหมือนบนโลก หรือดาวดวงอื่นๆ, ส่วน สนธิมาส กลางวันกับกลางคืน จะรวมกัน ทำให้มองเห็นทุกอย่าง เหมือนกลางวัน ท่ามกลางแสงสว่างนวลๆ บนพื้นดินตลอดเวลา แต่บนท้องฟ้า จะมองเห็นดวงดาว เช่นเดียวกับกลางคืน. ความยาวนาน ของยุคฤดูกาลในเขตมิติเวลา ไม่มีความแน่นอน.

 

(02) ประตูมิติเวลา ทางเข้าไปในอาณาเขต มรกตนคร และ เทือกเขาพระศิวะ

เทือกเขาพระศิวะ บริเวณประตูมิติของเวลา.

บริเวณเขตมิติเวลา สนามความโน้มถ่วงควอนตัม ที่เป็นจุดที่ตั้งของ ประตูมิติเวลา เข้าสู่มรกตนคร ถูกระบุไว้ในแผนที่ของ เดวิด เรียบร้อยแล้ว. หลังจากที่เขาศึกษารายละเอียด มาเป็นอย่างดี จากคำบอกเล่า ของปู่ของเขา (ลาร์รี คีธ). เดวิด บันทึกตำแหน่ง และหนทางไปสู่เขตมิติเวลา ไว้ในแผนที่ ก่อนออกเดินทาง. การเดินทางไปสถานที่แห่งนั้น จะต้องตรงกับ วัน เวลา และตำแหน่ง เขาจึงจะมองเห็น ประตูกาลเวลา นั่นคือบริเวณเนินเขา ซึ่งถูกเรียกว่า “ถันพระอุมา” บนเทือกเขาพระศิวะ.

การปรากฏของเนินเขา ถันพระอุมา มาจากคำบอกเล่าของ คณะเดินทางไปมรกตนคร

“ ...คณะเดินทาง ได้นำแผนที่จาก แงซาย มาพิจารณาปริศนา 'ปิ่นพระศิวะฉายแสงเรืองรองเมื่อใด ถันพระอุมาจะปรากฏ ในคืน 5 ค่ำ เดือน 12' ซึ่งขณะนั้น เป็นวันที่ 11 ตุลาคม (ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11) และวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 คือ วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน ... และ ในตอนบ่าย ของวันอาทิตย์ ที่ 1 พฤศจิกายน แงซาย พบหลักฐานการเดินทาง จนถึงเนินพระจันทร์ของ พรานชด. พระจันทร์เสี้ยวของ คืน 5 ค่ำ ส่องแสงสว่าง ทั่วเขาพระศิวะ ก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ‘ ถันพระอุมา ' ปรากฏขึ้น เป็นระยะเวลาเที่ยงคืน สามสิบห้านาที ... ”

แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ ช่วงเวลาที่ประตูกาลเวลาเปิด มีแค่ 60 วินาที เท่านั้นเอง. ซึ่งในเวลาอันน้อยนิดนี้, เดวิด กับคณะเดินทาง จะต้องวางตำแหน่ง จุดยืน และช่วยกันดูรอบๆ 360 องศา และเมื่อมองเห็นประตูนั่นแล้ว ทุกคนจะต้องรีบผ่านเข้าไป ก่อนประตูจะปิด. ประตูนี้ จะเปิดในยามรุ่งอรุณ แห่งคืนที่มีห้วงเวลา กลางวันเท่ากับกลางคืน. (กาลแห่ง สนธิมาส) แสงของจันทราจะส่องผ่านเหลี่ยมเขา ณ จุดที่ยืนอยู่ แล้วจะมองเห็นประตูทางเข้า ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น (60 วินาที). ทุกคนจะต้องเข้าไปให้ทัน ก่อนแสงที่มาจากเหลี่ยมเขาจะหายไป นั่นหมายถึงประตูจะปิดลง. จะเปิดใหม่อีกครั้ง ก็ในปีถัดไป.

แต่ความลับของประตูกาลเวลา ยังมีอีก, แท้จริงแล้ว ประตูมิได้ถูกปิดแต่อย่างใด มันคงเปิดอยู่เช่นนั้น ตลอดกาล, เพียงแต่ว่า จะไม่มีใครมองเห็นมันได้ ในระยะเวลานานเกินกว่า 60 วินาที. หลังจากผ่านกาลรุ่งอรุณ แห่งคืนที่มีห้วงเวลา กลางวันเท่ากับกลางคืน ไปแล้ว. การจะมองเห็นประตูนั้นได้อีกครั้ง ไม่ต้องใช้ปาฏิหาริย์ ไม่ต้องใช้เวทมนตร์ แต่ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์นี่แหละ ก็สามารถมองเห็นได้.

ถนนนอกเมืองมรกต ในฤดูกาล สนธิมาส.

กรณีนี้ เดวิด รู้พิกัดบริเวณที่ตั้งของประตู แต่ไม่รู้ตำแหน่งของมัน, จูเนียร์ ค้นพบโดยบังเอิญ ด้วยการใช้ลำแสงของ ปืนเลเซอร์ส่องไปเห็นขอบของวงประตู รูปทรงกลม. เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ ก็สามารถมองเห็น จุดแสงสีขาวเล็กๆ ซึ่งเล็กมาก ยากที่จะสังเกตเห็นได้. จุดนั้นนั่นแหละ คือ ปุ่มเปิดประตู. และเมื่อผ่านเข้าไปแล้ว ก็คือเขตมิติเวลา. เมื่อเข้าสู่เขตมิติเวลา ประสาทรับรู้ และรับสัมผัส จะกลับหัวกลับหางกัน ในทันที. เราจะรู้สึกว่า แผ่นดินอยู่บนหัว ใกล้ๆ นี่เอง แค่มือเอื้อมถึง และท้องฟ้าสีน้ำเงิน อยู่ข้างล่าง ที่ฝ่าเท้าของเรา. เราจะต้องปรับทัศนและมิติมุมมองเสียใหม่ ด้วยการค่อยๆ เอนตัว นอนลง จากนั้น ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ให้เท้าแตะแผ่นดิน. เมื่อสังเกตให้ดี ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ จะเต็มไปด้วยดวงดวงระยิบระยับ ทั้งๆ ที่ในเวลากลางวัน. นั่นคือ ดินแดนแห่งมิติเวลา ในช่วงแห่งฤดูกาลที่เรียกว่า สนธิมาส. และฤดูกาลเช่นนี้ จะปกคลุมไปทั่วเขตมิติเวลา รวมทั้งอาณาจักรมรกต ด้วยเช่นกัน.

 

(03) มรกตนคร

เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเขต 'ขอบฟ้าเหตุการณ์' (event horizon) ของมิติเวลา, ซึ่งในทางฟิสิกส์ ไม่สามารถระบุพิกัดตำแหน่ง ในแผนที่บนโลกได้เลย. บุคคลที่อยู่ภายนอกอาณาจักร (ผู้สังเกต) จะไม่สามารถรับรู้ ความกว้าง ความยาว ความสูง (3 มิติ) ที่เป็น ระยะทาง ของทุกๆ สิ่งในเมืองมรกตได้เลย. ในความเป็นจริง , ความกว้าง ความยาว ความสูง ของทุกๆ สิ่ง ในเมืองมรกต ถูกกำหนดด้วย 'ระยะเวลา' แต่ในความรู้สึกรับรู้ในเรื่อง ความกว้าง ความยาว ความสูง ของทุกๆ สิ่ง จะมองเห็นเป็น 'ระยะทาง' ซึ่งบุคคลที่อยู่ภายในอาณาจักรมรกตนคร (ผู้ถูกสังเกต) จะมองไม่เห็นความแตกต่างของ ระยะทาง กับ ระยะเวลา เพราะความเป็นมิติ (3 มิติ) ของทุกๆ สิ่ง จะถูกผสมปนเปกันไป (การพัวพันกันเชิงควอนตัม – Quantum entanglement) ระหว่าง ระยะทาง กับ ระยะเวลา. ดังนั้น การรับรู้การมีอยู่ การเคลื่อนไหว ของทุกๆ สิ่ง จึงดูเหมือนปกติแบบบนโลก.

ในขอบเขตที่เป็น ขอบฟ้าเหตุการณ์ ของมิติเวลา ไม่อาจกำหนดเส้นแบ่ง หรือจำนวนพื้นที่ ที่แน่นอนได้. นั่นเท่ากับว่า นอกเขตอาณาจักรมรกต ก็ยังมีอาณาจักรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น อาณาจักรสิงหรา เป็นต้น.

การเข้าไป หรือออกจาก มรกตนคร จึงเป็นเรื่องยาก แต่ก็สามารถกระทำได้ โดยผ่านช่องแคบๆ ของเวลา ซึ่งถูกจำกัดด้วย ระยะเวลา หรือ ห้วงเวลา (60 วินาที) และ พิกัดเวลา (เที่ยงคืนสามสิบห้านาที ของวันที่ 1 เดือนพฤศจิกายน) ซึ่งในทางฟิสิกส์ ก็คือ ประตูมิติเวลานั่นเอง. เนื่องจาก คณะเดินทางรุ่นแรก ซึ่งมี พันโทหม่อมราชวงศ์เชษฐา วราฤทธิ์ เป็นหัวหน้า และมี รพินทร์ ไพรวัลย์ เป็นผู้นำทาง ยังต้องอาศัยพิกัดในลายแทง ซึ่งเปรียบเสมือนแผนที่นำทาง. เหตุผลที่พอฟังได้คือ การค้นหา ประตูเวลาที่จะเข้าไปในเขตมรกตนคร ต้องอาศัยโชคและจังหวะ ในการมองเห็นด้วยสายตา. ซึ่งในความเป็นจริง ประตูเวลา มันไม่ได้หดหายไป ณ ที่ใด แต่หากจะเข้าถึงด้วย ประสาทสัมผัสของมนุษย์ ซึ่งมีขีดจำกัด (มนุษย์ จะมองเห็นคลื่นแสง ในย่านความยาวคลื่น 400 – 700 นาโนเมตร หรือความถี่แสง ช่วงประมาณ 430 – 750 เทระเฮิรตซ์ เท่านั้น) ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ เลย. แม้ว่าจะไม่อยู่ในห้วงเวลา หรือพิกัดเวลา ตามลายแทงก็ตาม แต่ประตูมิติเวลา มันยังคงอยู่ของมันเช่นนั้น. และด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ถูกติดตั้งลงบนอุปกรณ์ ที่มีความซับซ้อนเชิงควอนตัม ทำให้คณะเดินทางรุ่นลูก สามารถค้นหา ประตูเวลา ได้ไม่ยากเท่าใดนัก.

ภายในถ้ำมรกต อันสวยงาม เป็นที่หวงห้ามบุคคลภายนอกเข้าไป.

คุณสมบัติเด่น ที่ได้ชื่อเมือง มรกตนคร ก็คือ ถ้ำมรกต. ภายในถ้ำ เต็มไปด้วยหินสี ทั้งเรืองแสงได้ และหินสีทึบ จำนวนมากมาย. เมืองนี้ ไม่มีนาฬิกาบอกเวลา. ไม่มีฤดูกาลแบบที่มนุษย์รู้จัก. ยุคฤดูกาล (age of period) ของเมืองมรกต มีแค่สองยุคเท่านั้นสลับกัน โดยไม่มีความแน่นอน ในระยะความยาวนาน ของแต่ละยุคฤดูกาล. ยุคฤดูกาลทวิ ชื่อ 'สุริยัน-จันทรา' เป็นยุคที่แบ่งวันออกเป็น กลางวัน และ กลางคืน แบบที่มนุษย์รู้จัก และ ยุคฤดูกาล ชื่อ 'สนธิมาส.' ในห้วงแห่งฤดูกาล สนธิมาส จะมีกลางวัน – กลางคืน ผสมอยู่ด้วยกัน, กาลที่สมมุติเรียกว่า กลางวัน จะมีแสงสว่างส่องไปทั่วพื้นดิน ไม่มีวันดับ ขณะที่ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ปรากฏดวงดาว ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ราวกับกลางคืน. ทำให้เมืองทั้งเมือง สว่างตลอดเวลา, ภาคเช้าและภาคค่ำ อาจมีแสงสลัวนิดหน่อยเท่านั้น. อุณหภูมิเท่ากันตลอด. ชาวเมืองอาศัย แสงสว่างบนพื้นดิน สำหรับการดำรงชีพ ทำการกสิกรรม ปศุสัตว์. น้ำดื่มน้ำใช้ ได้จากใต้ดิน. ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม. แร่ธาตุ ถูกขุดขึ้นมาใช้ เท่าที่จำเป็น.

อายุขัยของคนในเมืองนี้ ไม่อาจกำหนดได้ด้วยเกณฑ์เวลา. ทุกคน ไม่อาจรู้วันเกิด และวันตายได้. การเจ็บป่วยของร่างกาย มีเฉพาะในทางฟิสิกส์เท่านั้น เช่น การได้รับบาดเจ็บ จากของแข็ง มีคม เป็นต้น. และรักษาด้วยสมุนไพร. ในเมืองนี้ จะไม่มีเชื้อโรค หรือไวรัสแพร่กระจาย เพราะกาลอากาศ ไม่เอื้อต่อการแพร่พันธุ์ของเชื้อโรคที่มีขนาดเล็ก ระดับไวรัส.

เมื่อมองออกจากปล่องถ้ำมรกต จะมองเห็นทิวทัศน์ เมืองมรกต อีกด้านหนึ่ง.

ช่วงที่คณะเดินทางรุ่นแรก (เชษฐา, ดารินทร์ , รพินทร์ และ ผู้ติดตามชาวฝรั่ง) เหยียบย่างเข้าเขตมรกตนคร ทั้ง 3 ครั้ง, ตรงกับฤดูกาลทวิ (สุริยัน-จันทรา). แต่หลังจากพระราชินีเมยานี ทรงมีพระประสูติการ องค์หญิงไปรยา มรกตนคร ก็เปลี่ยนเข้าสู่กาลแห่งสนธิมาส สร้างความปราบปลื้มยินดีแก่ชาวเมืองเป็นอันมาก. ส่วนคณะเดินทางรุ่นลูก (นาถ, วีรินทร์, เดวิด, จูเนียร์ คีธ) เดินทางเข้ามรกตนคร ตรงกับยุคแห่งสนธิมาส.

รูปแบบภาษา ที่ใช้ได้ในมรกตนคร ใช้ได้ทั้งสองระบบ. คือ ระบบสื่อสารด้วยจิต ซึ่งเป็นการสื่อสารระดับพื้นฐาน ของประชาชนทั่วไป และ ระบบสื่อสารด้วยเสียง ซึ่งมักใช้กับ แขกต่างพิภพ เช่น มนุษย์ต่างดาว เอเลี่ยน และมนุษย์โลก ที่หลุดเข้ามาในเมืองมรกต. ระบบสื่อสารด้วยจิต ใช้ความนึกคิด ความรู้สึก ซึ่งส่งแรงชนิดหนึ่งผ่านคลื่นในสมอง (วิญญาณ - สังขาร) เป็นสื่อ (media). เนื้อหาสาระของสารที่เกิดจาก คลื่นความคิด ซึ่งเรียกว่า สาร (message) จะใช้สัญลักษณ์ที่ต่างกัน 2 ความหมาย ซึ่งถูกกำหนดขึ้นในจิต เช่นเดียวกับเลขในระบบฐานสอง (digital) เรียงต่อกันเป็นชุดฐาน ชุดฐานละ 2 ความหมาย ที่แตกต่างกัน หรือ ตรงข้ามกัน เช่น 0-1 หรือ บวก-ลบ หรือ ถูก-ผิด หรือ จริง-เท็จ , ใช่-ไม่ใช่ หรือ ขาว-ดำ หรือ ว่างเปล่า-มี หรือ ฯลฯ. ชุดฐานสัญญะ อย่างน้อย 8 ชุดฐาน รวมกันเป็นหนึ่งอักษรสมมุติ. คล้ายกับระบบภาษา ที่ใช้สื่อสารกันในโปรแกรมคอมพิวเตอร์. เพียงแต่ต่างกันที่ สื่อกลาง (media), โดยที่ คอมพิวเตอร์ จะใช้ไฟฟ้า เปิด-เปิด (I-O) แทนชุดฐาน แต่ภาษาที่ชาวมรกตใช้กัน คือใช้แรงในคลื่นสมอง แทนชุดฐาน. ทำให้การสื่อสารกัน ของชาวมรกตนคร ไม่จำกัดด้วยเวลา และระยะทาง และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าภาษาที่มนุษย์ทั่วไปใช้กัน.

ส่วน ระบบสื่อสารด้วยเสียง จะใช้คลื่นเสียงจากการพูดเป็นสื่อ ก็ยังคงใช้ได้เช่นกัน. โดยปกติ ชาวเมืองมรกต จะไม่ใช้รูปแบบสื่อสารกันด้วยเสียง. มักเกิดอุปสรรคมากมาย สำหรับแขกหรือผู้บุกรุก ที่ใช้เสียงเป็นสื่อกลางในการสื่อสารกัน. แต่ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น คือ ชาวมรกตนคร มีการเข้ารหัส ในการเลือกสื่อสารกับบางคนได้. ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายสิงหรา และ ฝ่ายมรกตนคร จึงสามารถเก็บความลับของกันและกันไว้ได้.

อาจกล่าวได้ว่า ภาษาระบบฐานสอง (ดิจิตัล) ของคนในเมืองนี้ ก็คือ ภาษาสากลของจักรวาล ที่สามารถสื่อสารกันได้ แม้กับมนุษย์ต่างดาว. ทฤษฎีที่ผู้เขียน นำมาอธิบาย การเกิดขึ้นของ ปรากฏการณ์ต่างๆ ตั้งแต่บริเวณเนินถันพระอุมา ไปจนเข้าเขตมรกตนคร มาจากหนังสือ ชื่อ สรรพสิ่ง สัมบูรณ์ ด้วย สัตตะธัมมะธาตุ (The 7-Element: Absolute of Everything)

 

(04) เทือกเขาพระศิวะ และ เนินเขารูปเกือกม้า ที่คณะพรานป่า เรียกว่า ถันพระอุมา

เทือกเขาพระศิวะ มีภูเขาสองลูก เรียกว่า ถันพระอุมา เมื่อไปถึงยอดสูงสุดของเขา จะพบประตูกาลเวลา ที่นั้น. เมื่อผ่านประตูเวลา จะเป็นถนนทางเดิน เดินต่อไปอีกสามวัน ก็จะเข้าเขต พระนครมรกต. เทือกเขาพระศิวะ อยู่บนเทือกเขาตะนาวศรีอีกทอดหนึ่ง. ดูตามแผนที่ ที่เดวิด ทำไว้ ก่อนออกเดินทาง.

การเดินทางเข้าไปมรกตนคร ของ เดวิด และคณะ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 เกิดข้อผิดพลาดหลายอย่าง ในการคลำทางด้วยเท้า, ช่วงที่ 2 นั่งเฮลิคอปเตอร์ จาก จ.กาญจนบุรี ไปยังจุดที่เชื่อว่าเป็นเทือกเขาพระศิวะ กว่าพวกเขาจะเจอ ก็ต้องเผชิญกับ สิ่งแปลกประหลาด คล้ายเทพนิยาย (กินนร-กินรี, สัตว์เวตาล, ใบไม้กินคน ฯลฯ)

คืนที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน หลังตั้งแคมป์รอ เห็นช่องเหลี่ยมเขา พาแสงจันทร์ ส่องไปยังเดินถันพระอุมา. เมื่อเดินไปถึงยอด จึงพบประตูกาลเวลา. เมื่อผ่านไปแล้ว ต้องกลับหัวกลับหาง ก่อนออกเดิน และเกิดความไม่แน่ใจว่า ที่นี่ใช่ เขตมรกตนคร หรือไม่ เพราะห้วงเวลาที่พวกเขาไปถึง เป็นฤดูกาลใหม่ของ มรกตนคร ซึ่งเรียกว่า สนธิมาส

การเดินทางเข้าไป มรกตนคร ครั้งหลัง ของ เดวิด และ จูเนียร์ คีธ. ครั้งนี้ เขาแก้ปัญหาข้อผิดพลาด จากการคลำหา ประตูกาลเวลา. ครั้งนี้ เขาสองคน จ้างเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ ไปยังจุดที่ตรงกับ ประตูกาลเวลา ได้พอดี คือ บริเวณบนเนินเขารูปเกือกม้า เกือบยอดสูงสุดของเขาถันพระอุมา. ทำให้ย่นเวลาในการเดินทางได้มากกว่าครั้งก่อน หลายเท่า. ส่วนนาฬิกาหยุดเดิน อธิบายได้ว่า ยุคใหม่ไม่ใช่นาฬิกาแบบไขลาน แต่เป็นนาฬิกาควอซ์ จึงเป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ว่า นาฬิกาหยุดเดินได้จริง เพราะอำนาจของความโน้มถ่วง ที่ส่งแรงไปยังแร่ควอซ์ ให้หยุดการเคลื่อนไหว หากเป็นนาฬิกาชนิดไขลาน ก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่า อำนาจของแรงโน้มถ่วง จะส่งผลต่อกลไกการทำงาน ของนาฬิกาได้อย่างไร.

 

(05) มังกรไฟ (fire dragon)

มังกรไฟ เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ อีกชนิดหนึ่ง ที่นักบรรพชีวินวิทยา ไม่เคยพบเห็นมาก่อนบนโลก. เป็นสัตว์ที่มีบรรพบุรุษ สื่บต่อจากยุคดึกดำบรรพ์ เมื่อราว 65 ล้านปี มาแล้ว, ไม่จัดอยู่ในสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ อาจเป็นสัตว์ที่เรียกว่า มังกร ในเทพนิยายของจีน แต่มีส่วนผสมกับ มังกร ในเทพนิยายตะวันตก. วีรินทร์ อนันตรัย นักบรรพชีวินวิทยา ชาวไทย จัดมันเป็นสิ่งมีชีวิตอีกสายพันธุ์หนึ่ง แยกออกไปต่างหาก. เธอเรียกมันว่า dinopeto (สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่บินได้) เพราะมันมีขา (สี่ขา) มีปีก (สองปีก) ลำตัวมีเกร็ดสีเงินอมดำ. จัดเป็นสัตว์กึ่งบกกึ่งอากาศ วิ่งได้เหมือนสัตว์บก และบินได้เหมือนนก.

มังกรไฟ ไดโนเปโต (dinopeto dragon) มีศรีษะแบบเดียวกับนก ผสมสิงโต มีฟันเขี้ยวเพียงคู่เดียว นอกนั้น เป็นฟันเรียบ เหมือนสัตว์กินพืช แต่มีคม. ขนาดของปีก กว้าง 6 เมตร น้ำหนักตัว ประมาณ 17 กิโลกรัม. เป็นสัตว์กึ่งบกกึ่งอากาศ บินได้.

โดยปกติ กินพืชและสัตว์ เป็นอาหาร. มีถิ่นอาศัยอยู่ในถ้ำ, อยู่กันเป็นฝูง โดยมีจ่าฝูง ที่มีพละกำลังมาก และเฉลียวฉลาด. ฝูงหนึ่ง ราว 12 ตัว. เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบแสงสว่าง จะออกมาภายนอกถ้ำ เฉพาะเวลาที่มีแสงน้อย เพื่อหาอาหารกิน. กินครั้งหนึ่งอยู่ได้ เจ็ดวัน. มังกรไฟ ไดโนเปโต ฝูงนี้ อาศัยอยู่ในถ้ำ ในเขตเมืองสิงหรา.

ปกติก มังกรไฟ เป็นสัตว์รักสงบ. แต่เกลียดแสงไฟ ที่มารบกวนสายตา, เมื่อมีแสงไฟมารบกวน มันจะโกรธ และเข้าจู่โจมราวกับแสงไฟนั้น เป็นศัตรู. พ่อมดดำอัคคี อาศัยจุดอ่อนของมันในข้อนี้ บังคับมันเป็นทาสรับใช้ ในการจู่โจมศัตรู. พ่อมดดำ ให้มันกินแร่ชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่ในถ้ำ. แร่ชนิดนี้ มีส่วนผสมของธาตุที่ก่อให้เกิด คลื่นความร้อนได้. หลังที่มันกินธาตุนั้นเข้าไป จะรู้สึกอึดอัด อารมณ์ฉุนเฉียว (เช่นเดียวกับ คนดื่มเหล้า), และเมื่อมันโกรธ จะรวบรวมแรงลมหายใจไว้ให้เป็นมวล แล้วพ่นออกมาทางปาก พาคลื่นความร้อนออกมาด้วย. คลื่นความร้อนนี้ จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จะรู้ว่ามันพ่นความร้อนออกมา ก็ต่อเมื่อ วัตถุสิ่งของที่มันพ่นใส่ มีรอยไหม้ หรือมีไฟลุก. การพ่นไฟของมังกร เป็นพฤติกรรมก้าวร้าว ที่เกิดขึ้นภายหลังจากถูกกระตุ้นด้วยบางสิ่ง. โดยธรรมชาติ มังกร จะไม่พ่นไฟ ดังที่เราเคยเข้าใจกัน.

พ่อมดดำ ควบคุมตัวจ่าฝูงมังกรไฟ ได้ด้วย หินเรืองแสงชนิดหนึ่ง ที่พ่อมดดำ ครอบครองมันไว้. พ่อมดดำ จึงเป็นผู้เดียว ที่สามารถควบคุมพฤติกรรมของ มังกรไฟฝูงนี้ได้. แต่ก็ทำได้ในบางเวลา และมักไม่ค่อยได้ผล. วัตถุประสงค์เดียว ที่พ่อมดดำ ต้องการ คือ ก้อนมรกต ที่อยู่ในถ้ำ ของมรกตนคร. เพราะมันมีขนาดใหญ่ และมีลำแสงทรงพลัง มากพอจะควบคุมมังกรจ่าฝูง ได้ดั่งใจ.

 

(06) Boeing 777 Flight MH370 – Malaysia Air Line.

ปี ค.ศ. 1993 เริ่มมีการผลิตเครื่องบินพาณิชย์ อย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยสหรัฐอเมริกา. Boeing 777 เป็นเครื่องบินที่ตอบสนอง ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด. อีกทั้ง ช่วงปลายยุค 1980 อากาศยานรุ่นเก่า ก็ถูกทยอยปลดประจำการ เนื่องจากชั่วโมงบิน และเข้ามาแทนที่เครื่องบินโดยสาร ที่มีเครื่องยนต์มากกว่า 2 เครื่อง. องค์การ ETOPs หรือ Extended Range Twin Engine Operational Performance Standards อนุมัติให้เครื่องบินโดยสารแบบ 2 เครื่องยนต์ สามารถบินข้ามมหาสมุทรได้. เท่ากับเปิดทางให้ Boeing พัฒนาขีดความสามารถต่อไป ไม่หยุดยั้ง.

777-200 เป็นเครื่องบินโดยสารรุ่นแรก ที่ได้รับการออกแบบให้มีความยาว 63.7 เมตร ปีกกว้าง 60.9 เมตร โดยทำการติดตั้งเครื่องยนต์สมรรถนะสูง แบบเทอร์โบแฟน จำนวน 2 เครื่องยนต์ ที่ให้กำลังขับถึงเครื่องละ 70,000 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว. 777-200 ขึ้นบินเป็นครั้งแรกในวันที่ 12 มิถุนายน 1994, บินระยะไกลถึง 9,700 กิโลเมตร จุผู้โดยสาร 314-440 ที่นั่ง. ปี 1996 Boeing ได้เพิ่มเติมประสิทธิภาพของ 777-200 พร้อมกับตัวอักษร ER ต่อท้าย หรือ Extended Range ด้วยการติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่ เพิ่มเติมแรงขับขึ้นเป็น 90,000 ปอนด์ ช่วยเพิ่มพิสัยบินให้ไกลมากยิ่งขึ้นเป็น 14,310 กิโลเมตร. เครื่อง 777-200ER ขึ้นบินทดสอบครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1996. [ ที่มา : THE AERO issue 2 / December 2013]

การผลิต Boeing 777-200ER จากโรงงานลำแรก, ได้นำโครงสร้างบางส่วน ของเครื่องบินเก่า ในปี 1975 มาทำใหม่. ต่อมา มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ระบบควบคุมทิศทางและการทรงตัว ไม่สัมพันธ์กับระบบไจโรมิเตอร์ วิศวกรไม่สามารถหาสาเหตุได้. ทำให้ต้องหยุดการผลิตกลางคัน แต่ถูกเก็บไว้ รอการค้นหาสาเหตุต่อไป. หลังจากเครื่องบินลำที่สอง ผ่านการผลิตและทดสอบ , วิศวกร ได้ทำการทดสอบระบบโดยรวมของ 777-200ER ลำแรกอีกครั้ง ปรากฏว่า มันทำงานได้ดี และเมื่อทดสอบซ้ำ ก็เป็นปกติ. หลังจากนั้น Boeing 777-200ER ก็ถูกส่งไปให้ สายการบิน มาเลเซีย แอร์ไลน์ ในปี 1997. และนี่คือสาเหตุหนึ่ง ที่นำไปสู่ปริศนาการสูญหายไปในที่สุด.

 

(07) เครื่องจักรกล สำหรับเดินทางข้ามเวลา (Space–Time Warp Machine)

เป็นอุปกรณ์สำหรับเดินทางข้ามเวลา และ สถานที่ ณ ตำแหน่ง พิกัด ที่ต้องการได้ โดยระบุตัวเลขตำแหน่ง เวลา (ปี เดือน วัน ชั่วโมง นาที วินาที เศษ 1 ใน 1,000 วินาที), และ ระบุตัวเลขพิกัด ตำแหน่ง-พื้นที่ (พิกัด 3 แกน). การระบุตำแหน่งเวลา และตำแหน่งพิกัด-พื้นที่ ที่จะเดินทางไปในอวกาศ อันห่างไกล แต่ต้องมีความแม่นยำสูงสุด. นี่คือปัญหาใหญ่ ของผู้ระบุตัวเลข ที่มักเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย. เพราะ ไม่มีใครมองเห็น อดีต หรือ อนาคต ได้ชัดเจน เท่ากับ การคาดเดาด้วยตัวเลข. (คล้ายกับทำนาย ของหมอดู)

Space–Time Gate Machine (STG) หรือ ประตูมิติเวลาจักรวาล, เป็นเครื่องจักรกลควอนตัม ขนาดเล็ก มีความซับซ้อน ระดับฟิสิกค์ควอนตัม. โครงสร้างภายนอก เป็นรูปวงแหวนทรงกระบอก เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตร ซ้อนทับและไขว้กัน ดูภายนอกเหมือนวงแหวนสองวง ซ้อนเหลื่อมกัน. ตัววงแหวน ทำด้วยโลหะพิเศษ ที่มีส่วนผสมของธาตุนิวตรอนเข้มข้นสูง. ภายในเปลือกหุ้มทรงกระบอก มีปืนอิเล็กตรอน 3 อัน ทำหน้าที่ยิงลำแสง นิวตริโบซอน. ปืนอิเลกตรอน จะถูกติดตั้งวางระยะห่าง 3 จุด ปลายปืนหันไปทางเดียวกัน เพื่อสร้างลำแสง ให้เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมด้านเท่า. ลำแสงที่เป็นรูปสามเหลี่ยมนี่เอง จะถูกบังคับด้วยกุญแจ มันจะสั่น เพื่อสร้างความถี่ของทุกๆ สิ่งที่อยู่รายรอบ (ความถี่คลื่นเสียง ความถี่ไฟฟ้า–แม่เหล็กไฟฟ้า ความถี่คลื่นแสง–เวลา เป็นการเร่งเวลา ให้แสงเดินทางเร็วขึ้น) กลายเป็นพลังงานมหาศาล ที่ทำให้เวลา และ สถานที่ เกิดความปั่นป่วน. ความถี่ต่างๆ ที่มันสร้าง มาจากการตั้งค่า เวลา พิกัด-ตำแหน่ง ที่กุญแจรูปทรงสามแฉก. พลังงานที่เกิดจากลำแสง จะพาสิ่งที่อยู่ในรัศมีดึงดูด ได้แก่ คน วัตถุ พลังงาน และ เวลา หดหายไป และเคลื่อนที่ไปปรากฏ ณ จุดเวลา และพิกัดสถานที่ใดๆ ในจักรวาล ตามที่ได้ตั้งค่าไว้ใน ลูกกุญแจ. ชิปคอมพิวเตอร์ จะทำงานโดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์. แบตเตอรี่ถูกสร้างขึ้นมาแบบพิเศษ ไม่มีเวลาหมดอายุ.

ลูกกุญแจ กุญแจเปิด-ปิดเครื่อง มีลักษณะทางกายภาพ เป็นแท่งโลหะทรงกลม ผสมผลึกแก้ว ที่มีปลายด้านหนึ่ง เชื่อมติดกัน ปลายอีกด้านหนึ่ง แยกออกจากกันสามแฉก. มีวงจรอิเล็กทรอนิก ที่ซับซ้อน. ส่วนปลายของแต่ละแฉก จะมีหลอดไฟ ทรงสามเหลี่ยมด้านเท่า แสดงสถานะกระพริบ, ถ้าปลายด้านนั้นหันไปทางทิศที่ เครื่อง STG ตั้งวางอยู่ หรือ ประตูกาลเวลา ตั้งอยู่. กุญแจ ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ โดยให้ดูสถานะจากไฟรูปสามเหลี่ยม ที่อยู่บนผลึกแก้วตรงกลางของรูปสามแฉก.

พิกัดเวลา และ พิกัดสถานที่ในจักรวาล มีให้ตั้งค่า 3 พิกัด คือ พิกัดปัจจุบัน พิกัดอดีต และ พิกัดอนาคต. หากตั้งเสร็จแล้ว ต้องล็อกปุ่มพิกัดปัจจุบันเสมอ มิฉะนั้น เมื่อเดินทางไปแล้ว จะกลับมาที่เดิมผิดตำแหน่ง. ถ้าต้องการไปอดีต ก็ให้ปิดปุ่มการทำงาน ของพิกัดอนาคต. ถ้าต้องการไปอนาคต ให้ปิดปุ่มการทำงานของพิกัดอดีต.

เครื่อง STG ที่นาเคนทร์ พามาที่มรกตนคร เป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว. รุ่นเก่า จะพาทั้งคน วัตถุ พลังงาน เวลา รวมทั้งตัวเครื่อง ไปยังอดีตหรืออนาคต พร้อมกันทั้งหมด ทำให้การเดินทางข้ามเวลา กลับไปยังที่เดิมไม่ค่อยแม่นยำ จะต้องตั้งค่าพิกัดใหม่ทุกครั้ง ซึ่งมักเกิดข้อผิดพลาดบ่อยๆ. แต่รุ่นที่ปรับปรุงใหม่, นาเคนทร์ ได้เพิ่มกลไก “เปลือกหุ้ม” สำหรับบรรจุ สิ่งที่จะพาไปยังพิกัดอดีตหรืออนาคต (คน วัตถุ พลังงาน เวลา) อีกชั้นหนึ่ง คล้าย file folder ของแฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์. เปลือกหุ้มนี้ จะยืดหยุ่นรูปทรง ไปตามคนและวัตถุ ที่บรรจุไว้ข้างใน. การเดินทางไปยังพิกัดเป้าหมาย จะไปเฉพาะ เปลือกหุ้ม และสิ่งที่อยู่ข้างในเท่านั้น ตัวเครื่องไม่ได้หายไปที่ใด มันยังตั้งอยู่ที่เดิม. เมื่อเปลือกหุ้ม ไปถึงปลายทาง และเปิดออก สิ่งที่อยู่ข้างใน ก็จะออกไปอยู่ในพิกัดเวลาและสถานที่แห่งใหม่ จากนั้น เปลือกหุ้ม ก็จะทำหน้าที่เป็น ประตู ที่สามารถซ่อน ปิด ไว้ได้ เพื่อให้ผู้ที่เดินทางไป ใช้เดินทางกลับมายังพิกัดเดิมได้ถูกต้อง โดยไม่ต้องตั้งพิกัดใหม่.

เปลือก สำหรับบรรจุสิ่งที่จะพาไปยังเป้าหมาย สร้างขึ้นจาก เส้นสตริงความโน้มถ่วง จำนวนมากมายมหาศาล คล้ายใยแมงมุม แต่เป็นใยแมงมุมที่มีขนาดเล็กมากๆ ระดับเศษของพันล้านไมโครเมตร สานมัดเรียงร้อยกันเป็นใยหุ้ม คล้ายเปลือกดักแด้. เครื่องกลที่ใช้สร้าง เปลือกเส้นสตริง ถูกติดตั้งไว้ข้างบน ตรงจุดที่คนยืน. เมื่อเครื่องนี้ทำงาน มันจะสร้างใยสตริงสีฟ้า โปรยลงจากข้างบน จนคลุมร่างของคนและวัตถุ จนมิดชิด กลายเป็นเปลือกหุ้มดักแด้ จากนั้นก็จะถูกลำแสงอิเล็กตรอน ดูดหายวับไป.

วิธีใช้งาน, เมื่อเปลือก ถูกสร้างขึ้นจนหุ้ม คน และวัตถุ จนมิดชิดดีแล้ว คนที่อยู่ข้างใน ก็ตั้งพิกัดเวลา และ พิกัดสถานที่ในจักรวาล บนกุญแจ การตั้งค่า จะสัมพันธ์ (synchronous) กับการตั้งต่าที่ตัวเครื่อง, เมื่อเครื่องทำงาน (เกิดลำแสงอิเล็กตรอนรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า) นำลูกกุญแจ ค่อยๆ ยื่นเข้าไป ระหว่างจุดศูนย์กลาง ของปืนอิเล็กตรอนทั้ง 3 กระบอก. จากนั้น ให้บิดปุ่มไปทางซ้าย (ทวนเข็มนาฬิกา) จะลดค่ามุมภายในของลำแสงรูปสามเหลี่ยม ให้น้อยลง น้อยลง ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือ 0 (ลำแสงทั้งสามด้านของสามเหลี่ยม จะค่อยๆ โค้งเข้าหากัน ณ จุดศูนย์กลาง). จากนั้น ทุกอย่าง ที่อยู่ในรัศมีอำนาจพลัง (คน วัตถุ พลังงาน เวลา) จะถูกดูดหายวับไป ณ พิกัดปัจจุบัน. และเมื่อไปถึงปลายทาง (อดีต หรือ อนาคต แล้วแต่ที่ตั้งค่าไว้) ถ้าผู้ใช้แน่ใจว่า ถึงปลายทางที่ถูกต้องแล้ว ก็ให้บิดลูกกุญแจไปทางขวา (ตามเข็มนาฬิกา) จะเพิ่มค่ามุมภายใน ของลำแสงรูปสามเหลี่ยม ให้มากขึ้น มากขึ้น ไปเรื่อยๆ, รอจนกว่าเท่ากับ มุมภายในสามเหลี่ยม จะเท่ากับ 360 องศา (ลำแสงทั้งสามด้านของสามเหลี่ยม จะค่อยๆ ปรากฏความโค้ง และความโค้งเริ่มกลายเป็นเส้นตรง) แล้ว สิ่งที่อยู่รัศมีอำนาจพลัง (คน วัตถุ พลังงาน เวลา) ก็จะถูกผลัก ออกมาอยู่ ณ พิกัดปลายทาง. ผู้ใช้สามารถซ่อนตัวเครื่อง ไม่ให้คนอื่นเห็นได้ เว้นแต่ประตูเวลา ซึ่งต้องใช้กุญแจเท่านั้น.

มีกุญแจหนึ่งอัน ถูกวางไว้ที่เครื่องนี้, ส่วนอีกอันหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าจักราธิราช พระราชาธิบดีแห่งมรกตนคร เป็นผู้เก็บไว้. ผู้ที่จะใช้เครื่อง ต้องนำติดตัวไปด้วย หลังออกจาก เปลือกหรือประตูไปแล้ว เพื่อใช้เป็นไฟฉาย สแกนหาประตูเวลา ตอนขากลับ. ถ้าไม่นำติดตัวออกไป เท่ากับว่าผู้ใช้ ใช้เครื่องเดินทางแบบ one way เมื่อออกจากประตูเวลาแล้ว จะกลับเข้าไปอีกไม่ได้. ค่ามาตรฐาน, ประตูเวลา (เปลือกหุ้ม) จะเปิดค้างไว้ 48 ชม. และจะปิดอัตโนมัติ. เว้นแต่ผู้ใช้ จะตั้งเวลา ให้มันปิดด้วยตนเอง ตอนใช้เครื่อง.

[ที่มา : คำอธิบาย space-time gate machine จากนวนิยาย “ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์” (Hopeful with Hearted) บทประพันธ์ของ ดิน หิน ฟ้า]

 

(08) กล่องลับ BOX OF COLONA PROJECT

ภายในกล่องลับ บรรจุ DNA ของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งผลิตขึ้นในแล็บ ที่ถูกว่าจ้างโดยรัฐบาลสหรัฐ. ไวรัสที่ถูกบรรจุในกล่อง จะได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี จากกล่องที่ถูกผลิตเป็นพิเศษ. มันสามารถป้องกันคลื่นความร้อน สูงถึง 5,000 k องศาเซลเซียส. ปัองกันความดันจากคลื่นกระแทก ในระดับ 5G และยังปัองกันกัมมันตรังสี ได้ทุกชนิด. ดังนั้น จึงรับประกันได้ว่า ไวรัสจะถูกปกป้องไว้ข้างในอย่างปลอดภัย ทั้งไม่ให้ถูกกระทบจากภายนอก และป้องกันการระบาดออกไปจากกล่อง. กล่องไวรัส ได้ถูกโปรแกรมไว้ว่า หลังบรรจุไวรัสแล้ว กล่องจะเปิดอัตโนมัติใน 7 วัน. จะมีสัญญาณไฟ LED สีเขียว กระพริบ ห่างๆ แสดงสถานะกล่องปิดอยู่. เมื่อกล่องถูกเปิดออก ไม่ว่าจะโดยอัตโนมัติ หรือ โดยใช้รหัสก็ตาม ไฟแสดงสถานะ จะดับ และเมื่อกล่องถูกปิดอีกครั้ง ทุกอย่างจะถูกล็อค โดยไม่ต้องใช้รหัสปิด (ล็อคอัตโนมัติ) และไฟแสดงสถานะสีเขียว จะติดเหมือนเดิม.

การเปิดกล่อง จะมีรหัสเปิด 2 ชั้น ชั้นแรก เปิดโดยอัตโนมัติ ตามที่ถูกติดตั้งไว้ตอนบรรจุไวรัสลงกล่อง, ชั้นที่สอง เปิดโดยใช้รหัสตัวเลข 8 ตัว. การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับไวรัส จะต้องเข้ารหัสเช่นเดียวกัน จึงจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับไวรัสนั้นได้. ที่ข้างกล่องจะปรากฏข้อความ เพียงข้อความเดียว คือ BOX OF COLONA PROJECT เท่านั้น.

กล่องลับ COLONA PROJECT ที่ถูกนำขึ้นเครื่อง MH370 ครั้งนั้น มี 2 กล่อง. วันเวลาบรรจุ 8 มีนาคม 2014 และเมื่อกล่อง ถูกย้ายไปอยู่ในเขตมรกตนคร ซึ่งเวลาหยุดเดิน กล่องจึงไม่สามารถเปิดโดยอัตโนมัติได้. แต่เมื่อมันถูกพาออกนอกเขตเมืองมรกตแล้ว เวลาเปิดจะเริ่มนับต่อ. เดวิด ขโมยกล่องลับ โดยใช้เครื่องข้ามเวลา แต่เกิดความผิดพลาดในพิกัดเวลา. เขาพากล่องลับ ไปโผล่ที่เมือง นิวยอร์ค ซึ่งตรงกับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2020. ดังนั้น กล่องจะถูกเปิด ในวันที่ 15 มีนาคม 2020 ทำให้ไวรัสระบาดทั่วสหรัฐ และทั่วโลก.

 

(09) ปืนเลเซอร์ USKZM-1000

ปืนเลเซอร์รุ่นนี้ เป็นอาวุธปืนเลเซอร์ต้นแบบ ที่พลโทลาร์รี่ คีธ กับเพื่อน ทดลองสร้างขึ้นมา อย่างลับๆ. มีขนาดลำกล้อง 8 มม. มีมวลน้ำหนักประมาณ 1.2 กิโลกรัม. มีระยะยิงหวังผลอยู่ที่ 200 เมตร. เหมาะสำหรับใช้เป็นอาวุธ ในภารกิจแทรกซึม หรือปฏิบัติการลับ ด้วยพลังอันไร้เสียง และศรัตรูไม่สามารถมองเห็นวิถีการยิงได้ ช่วยให้งานก่อวินาศกรรมแลดูคล้ายอุบัติเหตุ. จูเนียร์ คีธ นำมันใช้โจมตีมนุษย์ และสัตว์ร้าย ในระยะใกล้ตัว มุ่งหมายป้องกันตัวเป็นหลัก. กล่องที่บรรจุปืนเลเซอร์ รุ่น USKZM-1000, จูเนียร์ คีธ ได้ดัดแปลง ให้ดูเหมือนเครื่องเครื่องรับ-ส่ง วิทยุสื่อสารชิดพกพา แต่มีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถลวงตา ผู้ที่ยึดมันไปได้ และควบคุมด้วยรีโมทก็ได้ ด้วยสัญญาณไวไฟก็ได้. จูเนียร์ ได้นำแผงโซลาร์เซล ประสิทธิภาพสูงพิเศษ พกพาติดตัวไปด้วย 2 แผง.

ตัวปืนใช้พลังงานไฟฟ้า จากแบเตอรี่ลิเทียมไอออน ชนิด solid state 96 volt.DC สามารถยิงแสงเลเซอร์ได้มากกว่า 500 ครั้ง (โดยแต่ละครั้งใช้เวลาไม่เกิน 2 วินาที). สิ่งสำคัญที่สร้างประสิทธิภาพ ให้แก่ปืนเลเซอร์รุ่นนี้ คือ สามารถเพิ่มความแรงของพลังงานแสงได้ 3 ระดับ. ระดับรุนแรง ถ้าระยะยิงถูกเป้าหมาย เช่น กระทิงป่า น้อยกว่า 5 เมตร ลำแสงสามารถทะลุผ่านไปได้. นั่นหมายถึง เป้าหมายก็ตายไปด้วย. แต่มีข้อเสียคือ หากปรับโหมดยิง เป็นระดับ 3 (รุนแรง) จะสามารถยิงได้เพียง 10 ครั้ง (นัด) เท่านั้น ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง แต่ละครั้ง (นัด) ที่ยิง จะใช้เวลา 5 - 7 วินาที (ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้า ที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่). แต่ถ้าหากปรับโหมดยิงปกติ ยิงในระยะพิสัย 200 เมตร จะยิงลำแสงได้ หลายร้อยครั้งต่อการชาร์จไฟ 1 รอบ (แต่เป้าหมาย อาจไม่ถึงตาย แค่สลบ).

 

  thinking focus new idea today
คำคม คำคิด แง่คิด ชีวิตดี
 


igood media copyright
 
SUDIN CHAOHINFA, igoodmedia.net : Administration and Producer
Copyright © 2010-2020 intelligence good media homeschool.
All rights reserved. me@igoodmedia.net