igood media
HOME   | Articles - Book - Poem - SongAUTHOR  |  FILM SCHOOL  |  COMMUNICATION ARTS  |  MY BLOG

Blog film school

My Media channel

blog

1 หน้าแรก
2
บทความ
หนังสือเล่ม
ร้อยกรอง เพลง
3
บทภาพยนตร์
ภาพยนตร์สั้น
วีดิโอ มิวสิควีดิโอ
4
วิชาเรียนนิเทศศาสตร์
ตำราเอกสาร
สื่อการเรียน
 

 

 

:
.

[กลับไปหน้า สารบัญ เวทีความคิด ] - CheapFlightsNow


:

 

.

[กลับไปหน้า สารบัญ เวทีความคิด ] - CheapFlightsNow


:สำนึกประเทศไทย สร้างวินัยชาติ

วินัยชาติ และ วัฒนธรรม
แด่ 'พระปิยมหาราช' และ 'พระภัทรมหาราช' พระผู้กู้ชาติ กู้แผ่นดิน ให้คนไทย ได้มีแผ่นดินอยู่.

หัวรถจักรรถไฟ วิ่งไปข้างหน้า
ด้วยพลังกลมหาศาล
มันจะเลี้ยวซ้าย หรือขวาได้
ก็ต่อเมื่อ มันยังวิ่งอยู่บนราง
ซึ่งสามารถพามันไป
ซ้าย หรือขวาก็ได้

'พลังหัวใจ ของคนไทย' ได้ชื่อว่า
มีกำลังมหาศาล ไม่ด้อยกว่า
พลังกลของหัวรถจักรรถไฟ
ที่จะลากพาประเทศไทย
พัฒนาไปสู่ ความรุ่งโรจน์ได้

แต่น่าเศร้าใจยิ่งนัก
คนไทยส่วนใหญ่ 'ไม่มีวินัยชาติ' และ
'ดูหมิ่นวัฒนธรรมของตนเอง'
ต่างพากันลากประเทศไทย
ไปซ้ายที ขวาที จนตกรางนับครั้งไม่ถ้วน ...

รถไฟตกราง ก็วิ่งต่อไม่ได้
เหมือนประเทศไทย ในอดีตและปัจจุบัน.

'วินัยชาติ' และ 'วัฒนธรรม'
ดุจรางรถไฟ ที่จะพาประเทศไปสู่
ความรุ่งโรจน์ การรื้อรางรถไฟทิ้ง
ก็ไม่ต่างกับการพาประเทศ ไปสู่หายนะ.

ดี. ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๙.

หากยังสำนึกใน วินัยชาติ วัฒนธรรม โปรดอ่าน ... ที่มาของ กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist ผู้ซึ่งรื้อรางรถไฟของประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ทิ้ง ... เขียนโดย ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร (เผยแพร่ใน ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ เมื่อ 27 พ.ค. 2558 เวลา 21:10:16 น. อ้างอิงใน http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1432728678

เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย H.E. Mr. Simon Roded

ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน

แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใครที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง

อย่างแรก ‘กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist’ ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า ‘Zionist’ แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า ‘Zionism’ ไม่ใช่ ‘Judaism’ เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง

‘ทุนธนาคาร Zionist’ ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90%ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลักๆทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลกเช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น

ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน ‘ทุนธนาคาร Zionist’ นี้ได้ แก่ ‘Rothschild’ และ ‘Rockefeller’ ชื่อ ‘Rothschild’ ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี

โดยใน ‘Independence Hall’ ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า ‘The Balfour Declaration’ เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง ‘Lord Rothschild’ ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ ‘Lord Rothschild’ Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล

ในสี่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ ‘The Four Horsemen of Oil’ ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายไต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย

ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่างๆ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา อาทิเช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่นอดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่างๆที่รับใช้พวกเขา ‘ทุนธนาคาร Zionist’ จึงมีอิทธิผลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา

ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่างๆทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้นๆตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ พร้อมการร่วมมือของ ‘คนไทย’ ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้ (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน (3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ ‘แบ่งแยกแล้วปกครอง’ เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้:

(1) การปล้นโกงนํ้ามันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’

ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พรบ. ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ ‘โดย’ ประชาชน หรือ ‘เพื่อ’ ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’

เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปรงใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปรงใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่างๆแจ้งเท่านั้น

การปล้นอธิปไตยโดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ ‘คนไทยที่ขายชาติตัวเอง’ ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองนํ้ามันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อยๆ มีการแก้ใขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้น โดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง ‘ขายชาติตัวเอง’ ให้แก่ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิชชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยนํ้ามันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา

ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อคจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐสูงสุด สหรัฐย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น

ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเสรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน

ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงนํ้ามันและก๊าซ โดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’ จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่นํ้ามันและก๊าซอีกต่อไป แต่ ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย

(2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ

การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวยๆของชาวนาวิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาตํ่ากว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง

วิธีการของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤติ มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก

ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น อาทิเช่น นํ้า ไฟฟ้า นํ้ามันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า นํ้ามันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank

Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์ อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้นๆ ยินดีที่จะยกบริษัท นํ้า ไฟฟ้า นํ้ามันและก๊าซ ให้โดย ‘เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิชชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพันๆล้านในการแปรรูป’ โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ

แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อคสเป็กในราคาที่ตํ่ากว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทนํ้ามันก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็มๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก ‘ทุนธนาคาร Zionist’ นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO

โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง ‘ทุนธนาคาร Zionist’ อาทิเช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทนํ้ามันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฎอยู่

(3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ ‘แบ่งแยกแล้วปกครอง’ (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ

เป็นที่ประจักษ์ ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิชชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย
ยุทธศาสตร์ ‘แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่างๆของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้นๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้นๆ

ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิชชั่น จากกลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ และถูกชักใยให้ปลุกปั้นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความรวมมือ ขายชาติตนเองแก่ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ทั้งสิ้น

หลักฐานปรากฎชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ อาทิเช่น (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถ ที่จะทำเองได้เลย

ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่นๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิชชั่น ทั้งในนํ้ามันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย

ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใดใดทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ นี้ได้กระทำทั่วโลก

ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใดใดทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร?

จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั้นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่?

ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเองเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ทั้งนั้น

ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ หรือ กลุ่มทุนอื่นใด

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร

*บทความยาว แต่ ... รางรถไฟ ของประเทศ ยาวกว่านี้มาก*

23 ต.ค.2559.

[กลับไปหน้า สารบัญ เวทีความคิด ] - SE-ED Online Shoppingศูนย์หนังสือ SE-ED Online Shopping


:นิทาน เรื่อง โรคร้ายของนายอุทัย

นายอุทัย เป็นผู้ป่วย โรคมะเร็งระยะเกือบสุดท้าย เขานอนแน่นิ่งอย่างโดดเดี่ยว อยู่ในห้องควบคุมพลังงานและความดัน

ประวัติล่าสุด - เป็นเจ้าของโรงพยาบาล ชื่อดัง ปัจจุบัน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ขั้น 3-4 เขาถูกแช่แข็งอยู่ในตู้ควบคุมพลังงานและความดัน รอการเยียวยารักษา โดยด่วน!

ประวัติก่อนหน้านั้น - ตอนที่นายอุทัย ยังมีสุขภาพดีอยู่ เขาชอบเข้าสังคม ทั้งสูบและดื่ม ตามประสาคนชอบสนุก การพนันก็มีบ้าง แต่ความเป็นคนใจกว้าง ระยะหลังทำให้มีหนี้สินรัดตัว สร้างปัญหาให้แก่ตัวเขา และธุรกิจของเขา ผลกำไรได้ไม่พ่อจ่าย ค่าดอกเบี้ย บางวันก็เกิดอาการเครียด
เขาทำธุรกิจหลายอย่าง เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง ทำธุรกิจบันเทิง เป็นเจ้าของโรงเรียน สนามบิน สถานีโทรทัศน์ และอื่นๆ อีกมากมาย เขาปล่อยให้ลูกหลานของเขา เป็นผู้ดูแล โดยกระจายๆ กันไป มากบ้าง น้อยบ้าง ลูกหลานบางคน ก็แอบทำธุรกิจผิดกฏหมาย

ก่อนเจ็บป่วย เขาไปซื้อกิจการโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งใกล้จะเจ๊ง มาบริหารเอง และที่นี่เป็นแหล่งพักพิงในช่วงสุดท้ายของชีวิต

นายอุทัย มีญาติเยอะมาก และญาติๆ เหล่านั้น ต่างก็หวังจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของเขา เขามีญาติหลายฐานะ หลายกลุ่ม หลายฝ่าย ทั้งเข้ากันได้บ้างและเข้ากันไม่ได้บ้าง แต่กลุ่มใหญ่ที่สุด จะแบ่งเป็นสองฝ่าย คือ ญาติฝ่ายเหนือ และญาติฝ่ายใต้ ในระยะหลังๆ พวกญาติทั้งสองฝ่าย มักทะเลาะกันเป็นประจำ ก็คงหนีไม่พ้น เรื่องสมบัติของเขานั่นแหละ อันที่จริง ญาติทั้งสองฝ่าย ก็มีคนดีและคนไม่ดีปะปนกันไป บ้างก็โกงผลประโยชน์ของนายอุทัย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จับได้บ้างไม่ได้บ้าง ซึ่งนายอุทัย ก็รู้นิสัยของญาติของตนดี (มันก็มีนิสัย ไม่ต่างจากเขานั่นแหละ คือ รักตัวเอง ชอบสนุก และการพนัน) แต่นายอุทัย ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกญาติๆ เหล่านั้นได้ เพราะต้องพึ่งพาพวกเขา ช่วยดูแลทรัพย์สิน และธุรกิจ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ธุรกิจของเขา มักไม่ได้รับความเชื่อถือ จากเครือข่ายของเพื่อนๆ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ

ที่โรงพยาบาลของเขา เขามีหมอฝีมือดีหลายคน แต่ละคน ต้องจ่ายค่าจ้าง ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าประชุม ค่าศึกษาดูงานต่างประเทศ และค่าอื่นๆ จิปาถะ ในอัตราที่สูง หมอบางคน ก็ฉวยโอกาสเรียกร้องค่าตอบแทนสูงเกินจริง แต่ถ้านายอุทัยไม่พอใจ พวกหมอเหล่านั้น ก็จะขู่ว่าถ้าไม่จ้างพวกเขา นายอุทัยอาจตายได้

ช่วงยี่สิบปีที่สุขภาพของเขาเสื่อมโทรม เขาผ่านการรักษาและบำรุงสุขภาพ จากบรรดาหมอหลายคณะ หลายราย ผลัดเปลี่ยนกัน หมอแต่ละคณะ ก็มีแผนรักษาโรคของเขาแตกต่างกันออกไป

อาการเจ็บป่วยของเขา เริ่มจากปวดเมื่อยธรรมดา จากการทำงานหนัก เพื่อเลี้ยงดูลูกหลานบริวาร จำนวนมากมาย หมอชุดแรกๆ มักจะให้ยาแก้ปวดแก่เขา ปวดตรงไหน ก็ให้ยาทาหรือยาฉีดแก้ปวดตรงนั้น เขาก็มีอาการดีขึ้น ทำงานได้มากขึ้น ญาติฝั่งหนึ่่่่งรู้สึกพอใจ แต่อีกฝั่งก็ยังกังขาอยู่ หมอรุ่นต่อมา ก็ใช้แผนรักษาแบบหมอรุ่นก่อนๆ เขาก็ไม่หายขาด และมีทีท่าว่า โรคจะดื้อยา

ต่อมา มีคณะหมอคณะหนึ่ง อาสาเข้ามารักษาอาการเจ็บป่วยของนายอุทัย ซึ่งนำทีมโดย หมอหนุ่มวัยคึกคะนอง นามว่า "หมอรัก" หมอรัก เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ไม่ชอบฟังเสียงใคร แม้แต่หมอมือดีในทีม ก็ยังต้องยอมคำตัดสินใจของเขา หมอรักใช้แผนรักษา แบบเดียวกับหมอรุ่นก่อน แต่เพิ่มความเข้มข้น และปริมาณของตัวยา ให้มากขึ้น และบ่อยขึ้น ผลที่ได้รับคือ นายอุทัยรู้สึกแข็งแรงขึ้นมาทันที ทุกๆ ครั้ง ที่เขารู้สึกปวดเมื่อยอ่อนเพลีย หมอรักก็จะให้ยาในปริมาณเพิ่มขึ้น และทำเช่นนั้น ทุกๆ ครั้ง จนนายอุทัย ไม่รู้สึกตัวเลยว่า เขากำลังเสพติดยาของหมอรักเข้าให้แล้ว ซึ่งส่งผลข้างเคียงแก่ร่างกายของเขา ในเวลาต่อมา ทำให้ญาติฝ่ายหนึ่ง ซึ่งรู้สึกกังขาในวิธีรักษาของเหล่าบรรดาหมอๆ เหล่านั้น มาตั้งแต่ต้น ได้รวมตัวกัน สวนใหญ่เป็นญาติฝ่ายใต้ เริ่มมองเห็นโทษภัยของยา และวิธีรักษาของหมอรัก ส่วนญาติฝั่งที่เห็นด้วยกับวิธีของหมอรัก ก็ตั้งแฟนคลับขึ้นสนุนหมอรัก ส่วนใหญ่เป็นญาติฝ่ายเหนือ

ญาติฝ่ายใต้ เป็นห่วงว่า อาการป่วยของนายอุทัยอาจจะหนักขึ้น จึงแสดงความเห็นคัดค้าน แผนการรักษาของหมอรัก ซึ่งแน่นอนเหลือเกิน ที่แฟนคลับของหมอรัก ซึ่งเป็นญาติฝ่ายเหนือ กลับรู้สึกพอใจในผลงานของหมอรัก อย่างไม่ลืมหูลืมตา ต่างก็สนับสนุน แผนการรักษาของหมอรักต่อไป

หมอรัก เพิ่มแผนรักษาให้ถี่ขึ้น โดยให้ยาบำรุงเป็นจุดๆ ไป ปวดตรงไหน ก็บำบัดตรงนั้น ต้องการเร่งพลังกล้ามเนื้อตรงไหน ก็ให้ยาบำรุงเฉพาะจุด ซึ่งแน่นอน ภาพที่พวกญาติฝ่ายเหนือเห็นก็คือ นายอุทัยรู้สึกดีขึ้น กลับไปทำงานหนักๆ ได้ แต่ทำได้ไม่นาน ก็กลับเจ็บป่วยหนักขึ้นกว่าเก่า ทำให้ญาติฝ่ายใต้ เริ่มไม่พอใจ ในวิธีการรักษา ก็คัดค้านไปยังคณะหมอรักอีกครั้ง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ กลุ่มญาติฝ่ายเหนือ ก็ไปจ้างนักวิชาการ มาแถลงข้อบกพร่องของหมอรัก คราวนี้มีหมอบางส่วน ในคณะของหมอรัก เริ่มเห็นคล้อยตาม ที่ไม่เห็นด้วยก็ลาออกไป ที่กลัวจะตกงาน ก็เออออทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ขออยู่ร่วมงานกับหมอรักต่อไป คราวนี้ หมอรัก ปฏิเสธวิธีการรักษาแบบอื่น ตามคำแนะนำของญาติฝ่ายใต้ อย่างเด็ดขาด

ไม่นาน อวัยวะต่างๆ ของนายอุทัย ก็เกิดพิษสะสม ดื้อยาหนักขึ้น ญาติฝ่ายใต้ กับญาติกลุ่มอื่นๆ จึงรวมตัวกัน ขับไล่ไม่ให้ญาติฝ่ายเหนือ เข้าไปยุ่งกับหมอรักอีก ระหว่างที่นายอุทัย หมดสติชั่วคราว ญาติฝ่ายใต้ ก็ปลดหมอรักออกจากโรงพยาบาลไป และไปจ้าง "หมอเบญ" ให้เป็นคณะแพทย์ชุดใหม่

คณะของหมอเบญ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ทั้่งจากต่างประเทศและในประเทศ คณะของหมอเบญ ใช้วิธีรักษาด้วยสมุนไพร เพราะรู้ดีกว่า สมุนไพรหลายชนิด สามารถแก้พิษยาแก้ปวด และผลพิษข้างเคียงของยาแก้ปวดและยาบำรุง ของหมอรักได้ ญาติฝ่ายเหนือ รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง จึงเก็บความแค้นไว้ในใจ

ผลการรักษา ของหมอเบญ ทำให้นายอุทัย รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากนายอุทัยเจ็บป่วยมานานหลายปี จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะทำให้อาการของเขาดีขึ้นโดยทันที ญาติฝ่ายใต้บางคน ก็ควักสตางค์ส่วนตัว รวมกับการเรี่ยไรหาเงิน เพื่อไปซื้อสมุนไพรจากต่างแดน อะไรที่ว่าดีๆ ก็เที่ยวไปซื้อหามา เพื่อจะช่วยกันเยียวยาให้นายอุทัยหายป่วย แต่ดูเหมือนว่า อาการป่วยของนายอุทัยไม่ดีขึ้น เพราะนายอุทัย มักเป็นคนดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งหมอ เช่น ให้พักรักษาตัว แต่เขาก็แอบหนีไปเที่ยวบ้าง เล่นพนันบ้าง แอบไปดื่มบ้าง นี่คือสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้อาการของเขา ดีๆ หายๆ กลายเป็นต้นเหตุ ให้ญาติฝ่ายเหนือ ใช้เป็นข้ออ้างโจมตี ผลการรักษาของหมอเบญ อีกทั้งกล่าวหาว่า ญาติฝ่ายใต้ ถืออภิสิทธิ์ ตัดสินใจแต่ฝ่ายเดียว ไม่รับฟังความคิดเห็นของญาติฝ่ายอื่นๆ ระหว่างญาติทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน อาการของนายอุทัยก็ทรุดฮวบลงอีก พวกญาติขัดแย้งกันหนักขึ้น ถึงกับลงไม้ลงมือ ใช้อาวุธทุบตีบาดเจ็บกันไป

พอนายอุทัยดีขึ้นเล็กน้อย ก็รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก และโกรธอย่างรุนแรง เขาจึงประกาศว่า ให้ญาติทั้งสองฝ่ายหุบปาก และวางอาวุธ เขาประกาศ ขอเปลี่ยนหมอชุดใหม่ คราวนี้ นายอุทัย เลือกเอาคณะของ "หมอเขียว" มาเป็นหมอรักษา ตัวหมอเขียวเอง เป็นคนร่างใหญ่ สมาร์ท แต่พูดไม่ค่อยไพเราะ ไม่พูดเอาใจใคร หมอเขียว มีหมอฝีมือดีๆ หลายคน อยู่ในทีม ซึ่งถูกเรียกมาใช้ปฏิบัติภารกิจอันสำคัญนี้

หมอเขียว เริ่มต้น ด้วยการทำวิจัย หาสาเหตุของความเจ็บป่วย ว่ายาตัวใดเป็นพิษ ตัวใดไม่เป็นพิษ ปรากฏว่า ยาแก้ปวด และยาบำรุง ของหมอรุ่นก่อนๆ นั้น มีพิษสะสมระดับหนึ่ง แต่ยาของหมอรัก นอกจากมีพิษซ่อนอยู่ ยังมีความซับซ้อนในการแก้พิษอีกด้วย ทำให้อวัยบางส่วนดื้อยา ไม่ทำงาน และถ้าเพิ่มตัวยา อาการป่วยก็จะหายไปชั่วคราว และก็จะกลับมาป่วยอีก หรือยาบำรุงให้ไปเท่าใด ก็มักจะไม่พอ เพราะร่างกายของนายอุทัย มักจะขอเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลา ถ้าให้ไม่พอ อวัยวะส่วนนั้น ก็อาจเดี้ยง ไม่ทำงานเอาง่ายๆ ส่วนยาสมุนไพร ของหมอเบญ ก็มีพิษซ่อนอยู่เช่นกัน แต่ไม่ซับซ้อนและไม่ร้ายแรงเท่าของหมอรัก

จากผลงานการวิจัย ของคณะหมอเขียว ปรากฏว่า ได้ขึ้นบัญชีดำ ยาแก้ปวด และยาบำรุง ของหมอรัก หลายรายการ ซึ่งรอการพิสูจน์โดยละเอียดอีกครั้ง ว่ามันทำลายอวัยวะส่วนใหนและอย่างไร มันจะถูกประกาศห้ามใช้ และ คณะของหมอรัก จะมีความผิดไปด้วย แต่คณะหมอเขียว ก็ไม่ลืมจะขึ้นบัญชีดำของ ยาสมุนไพรของ คณะหมอเบญเช่นกัน และรอการพิสูจน์โดยละเอียดในลำดับต่อไป

ญาติฝ่ายใต้ เห็นว่า หมอเขียว น่าจะเอาอยู่ กับการรักษาอาการป่วยของนายอุทัย จึงพากันซุ่มดูเหตุการณ์ แต่การกระทำของคณะหมอเขียว กลับสร้างความเร่าร้อน และเจ็บแค้นให้แก่ ญาติฝ่ายเหนือ เป็นอย่างมาก พวกเขาคิดว่า ศรัตรูที่แท้จริง ก็คือหมอเขียวนี่เอง ดีละขณะที่พวกญาติฝ่ายใต้ ไม่เข้ามายุ่ง ก็นับว่าเป็นโอกาสเหมาะ ที่จะไม่ต้องมีศรัตรูสองด้าน หัวหน้าของญาติฝ่ายเหนือ จึงคิดแก้แค้น หาทางขับไล่หมอเขียวให้จงได้ พวกเขาวางแผนไว้ว่า จะผลักดันให้ หมอรัก กลับมาเป็นหมอรักษานายอุทัยอีกครั้ง

ระหว่างรอการพิสูจน์พิษของยา ที่สะสมอยู่ในร่างกายของนายอุทัย หมอเขียว จึงจำเป็นต้อง ทำการดอง หรือแช่แข็ง ร่างกายของนายอุทัย ไว้ชั่วคราว เมื่อนายอุทัย ถูกแช่แข็ง อวัยวะทุกส่วนหยุดทำงาน ทำให้สมองของเขาสั่งการอะไรไม่ได้เลย การตัดสินใจทางด้านธุรกิจก็ต้องหยุดชะงักลง ทำให้บัญชีทางธุรกรรมของเขา ติดลบเป็นสีแดง ส่งผลกระทบต่อญาติๆ ทุกฝ่าย

ญาติฝ่ายเหนือ ไม่เลิกลา คิดวางแผนอย่างแยบผล ด้วยการสร้างกระแสข่าวลือ ผ่านโชเชียลเน็ตเวิร์ค ให้เห็นว่าคณะของหมอเขียว ไม่ยุติธรรม และไม่สมควรจะทำหน้าที่เป็นหมอรักษานายอุทัย พวกเขาจุดประเด็นการขึ้นบัญชีดำ ของรายการยา โดยกล่าวหาว่า หมอเขียว คิดแก้แค้นเฉพาะญาติฝ่ายเหนือเท่านั้น เพราะในแต่ละวัน จะมีการประกาศผลการพิสูจน์พิษยาของฝ่ายหมอรักเท่านั้น ส่วนฝ่ายของหมอเบญ ไม่เห็นทำอะไรเลย ไม่ประกาศ ไม่แจ้งอะไรออกมาเลย หมอเขียวทำเช่นนี้ ไม่ชอบธรรม

มันได้ผล!! ทำให้ญาติๆ ที่อยู่ห่างไกลจากข่าวสาร เริ่มเชื่อในการปั่นกระแสข่าวของ ผู้นำญาติฝ่ายเหนือ

ในขณะที่ ร่างของนายอุทัยนอนหลับในตู้แช่แข็งอยู่นั้น ญาติฝ่ายใต้ และฝ่ายอื่นๆ ต่างก็เข้าไปเยี่ยมร่างของนายอุทัย และต่างพากันพูดกระซิบกันเฉพาะในหมู่ญาติๆ ว่า

"ไอ้ตู่กะไอ้เต้น มันเล่นไม่เลิก"
"พี่ก็อย่าไปสนใจมันซิ มันหลอกได้เฉพาะคนโง่ๆ"
"เฮ้ย ประมาทไม่ได้นะ คนโง่ๆ เหล่านั้น เขากำลังลำบาก ไม่มีจะแดกกันอยู่แล้ว"
"รวมถึงพวกเราด้วย" ญาติอีกคน สอดขึ้น
"ก็นั่นแหละ คนมันหิว อะไรๆ ที่มันยื่นเข้าปาก ก็งับเอาไว้ก่อน อะไรที่หยอดใส่หูได้ ก็เชื่อไว้ก่อน"
"เออ จริงดิ ลืมข้อนี้ไป"
"แล้วหมอเขียว เขารู้รึยังเรื่องนี้"
"คงรู้แล้วมั๊ง"

.27 มิ.ย.2559.

[กลับไปหน้า สารบัญ เวทีความคิด ] - - ป.ตรี ม.แสตมฟอร์ด (Bachelor degree: UG General - Stamford International University)


:ยาบ้า กำลังจะถูกลดบทบาท หรือ กำลังจะถูกส่งเสริม?

วิธีแก้ปัญหายาบ้า ต้องดูที่ต้นเหตุ และความเกี่ยวข้อง
กาลอวกาศ (spacetime) ของ วงจรยาบ้า ยาบ้า มิใช่สิ่งที่จะมีอยู่ในสังคมได้อย่างโดดเดี่ยว คุณสมบัติทางเคมีของยาบ้า ก็ไม่ใช่จะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด แต่มันก็ถูกนำใช้ไปในทางที่เสียหาย ส่งผลกระทบต่อคน สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เพราะมีผู้มองเห็นช่องทาง ที่จะนำคุณสมบัติของมัน ไปใช้ในทางที่ไม่ดี และมันก็ใช้ได้ดีเสียด้วย ในบริบทของสังคมไทย

วงจรของยาบ้า มีความซับซ้อน มีการซ้อนทับ ของผลประโยชน์ อำนาจ และอิทธิพล อย่างแยกไม่ออก การซ้อนทับกันอย่างซับซ้อน ที่แยกกันไม่ออกนี้ เรียกว่า "มิติ" วงจรยาบ้า มี 4 มิติ คือ

มิติที่ 1 มีผู้เสพ
มิติที่ 2 มีผู้เสพ มีผู้จำหน่าย
มิติที่ 3 มีผู้เสพ มีผู้จำหน่าย มีผู้ผลิต
มิติที่ 4 มีผู้เสพ มีผู้จำหน่าย มีผู้ผลิต มีตลาด

ตลาดของยาบ้า เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นสำหรับกฏหมาย แต่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนจนและคนที่มีอิทธิพล ตลาดของยาบ้า เกี่ยวข้องกับธุรกรรมหลัก 3 ข้อ คือ
(1) ธุรกรรมการฟอกเงิน
(2) ธุรกรรมการซื้อเสียงทางการเมือง
(3) ธุรกรรมการพนัน

ปัจจัยหนุน 3 ข้อ ที่ทำให้วงจรยาบ้า ดำเนินอยู่ได้
(1) ตำรวจ (ที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกรรมผิดกฏหมาย เช่น การค้ามนุษย์ ส่วย รับจ้าง)
(2) นักการเมือง (ที่เชื่อมโยงกับ ธุรกรรมการฟอกเงิน การซื้อเสียง การพนัน ข้อใดข้อหนึ่ง หรือทั้งหมด)
(3) ผู้สื่อข่าว (ที่อวยจรรยาบรรณ* ให้แก่ผู้มีอิทธิพล) [อวยจรรยาบรรณ* หมายถึง จรรยาบรรณของการสื่อข่าว ทำไปเพื่อผู้ว่าจ้าง ไม่ใช่เพื่อมวลชน]

ดังนั้น ถ้าจะมองปัญหายาบ้าให้ถูกตัวถูกตน จะต้องมองให้ลึกในระดับ "มิติ" ไม่ใช่มองแค่ระดับ จุด (ผู้เสพ) หรือ เส้นตรง (ผู้เสพ ผู้ขาย) เมื่อมองเห็นตัวตนชัดเจน ก็จะทำให้มองเห็น แนวทาง วิธี ในการแก้ไขปัญหายาบ้า ได้ถูกทาง การกำจัดยาบ้า ให้หมดไปจากสังคมไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปัญหายาบ้า มันมีลักษณะ "ซ้อนทับกันอย่างซับซ้อน ที่แยกกันไม่ออก" (มิติ)

การแก้ปัญหายาบ้า จะทำได้จริง ต้องป้องปราม ธุรกรรม (1) - (3) คือ การฟอกเงิน การซื้อเสียง และการพนัน มิให้เกิดขึ้น และ ปฏิรูปปัจจัยหนุน (1) - (3) มิให้คนร้าย* ใช้เป็นเครื่องมือ ที่จริง ยาบ้า เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่ง ของธุรกรรมทั้งสาม (การฟอกเงิน การซื้อเสียงทางการเมือง และการพนัน)

[*คนร้าย ในวงจรยาบ้า หมายถึง ผู้รักษากฏหมาย ผู้มีอำนาจทางกฏหมาย และผู้มีอิทธิพลทางการเมือง *ผู้เสพ เป็นเครื่องเล่น ที่ถูกนำมาแสดง ผู้เสพ เปรียบเหมือน "จุด" จุดหนึ่งในตลาดของยาบ้า ที่เป็นหมากหรือตัวต่อ ให้วงจรยาบ้าดำเนินไป ผู้เสพ ไม่ได้มีอิทธิพลใดๆ ในวงจรยาบ้า แต่เป็น "ผู้ถูกกระทำ"]

ความเป็นไปได้ ในการกำจัดยาบ้า ให้หมดไปจากประเทศไทย มีความเป็นไปได้ ไม่เกินร้อยละ 10 ซึ่งน่าจะใช้คำว่า "จำกัด" มากกว่าคำว่า "กำจัด" ซึ่งมีความเป็นไปได้มากกว่า

25 มิ.ย. 2559

[กลับไปหน้า สารบัญ เวทีความคิด ] - SE-ED Online Shoppingศูนย์หนังสือ SE-ED Online Shopping


:แขก 6 ประเภท

ในบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านหลังใหญ่ มีเครื่องอำนวยสะดวก อาหารการกิน พร้อมสรรพ มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องพักผ่อน ห้องรับแขก ที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างหรู เสน่ห์ของบ้านหลังนี้ก็คือ เจ้าของบ้านใจดี และมีทรัพย์สินสิ่งขอมีค่า ตกแต่งประดับในห้องต่างๆ มากมาย การดูแล ปิดเปิดห้องต่างๆ เจ้าของก็ใจดี อนุญาตให้แขกที่มาพัก ช่วยกันสอดส่องดูแล ทำความสะอาด และจัดการบ้าน ให้น่าอยู่ด้วยตนเอง โดยเจ้าของบ้าน จะคอยดูอยู่ห่างๆ

ในบรรดาแขกที่มาพัก มี 6 ประเภท คือ

ประเภทที่ 1
พวกที่มาอาศัยอยู่แล้ว ต่างเอาใจใส่ดูแลบ้าน ให้สะอาด ปลอดภัย มีการจัดเวรยาม เมื่อเห็นขโมยเข้าบ้าน ต่างก็ช่วยกัน กวดจับขโมยนั้น ส่งให้ตำรวจ หรือ ส่งให้เจ้าของบ้านจัดการ

ประเภทที่ 2
พวกที่มาอาศัยอยู่แล้ว เอาใจใส่ดูแลบ้าน ให้สะอาด ปลอดภัย แต่มีความขลาดกลัว เมื่อตกกลางคืนต่างก็มุดหัวนอน เมื่อเห็นขโมยเข้าบ้าน ทำได้แค่ตะโกน ให้พวกชาวบ้านคนอื่นๆ รู้ จะได้มาช่วยกันจับขโมย

ประเภทที่ 3
พวกที่มาอาศัยอยู่แล้ว เอาแต่กิน แล้วก็นอน ไม่ทำอะไรเลย ให้เป็นประโยชน์ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันวัน เมื่อเห็นขโมย เข้าบ้าน ก็ละเลย ทำเป็นไม่เห็น

ประเภทที่ 4
พวกที่มาอาศัยอยู่แล้ว นอกจากเอาแต่กิน กับ นอน และไม่ทำอะไร ให้เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของบ้านแล้ว ยังเป็นสาย ให้โจรเข้าไปขโมยของในบ้าน

ประเภทที่ 5
พวกที่แฝงตัวมาอาศัยอยู่ แล้วสมคบกัน ขโมยของทุกอย่างในบ้านไป

ถามว่า
(1) ถ้าคุณจะไปเป็นแขกในบ้านหลังนี้ คุณจะเป็นแขกประเภทใด
(2) ถ้าคุณเป็นเจ้าของบ้าน คุณคิดว่า จะอนุญาตให้แขกประเภทใด อยู่ในบ้านต่อไป
(3) ถ้าคุณเป็นเจ้าของบ้าน คุณคิดว่า จะขับไล่ แขกประเภทใด ให้ออกจากบ้านไปโดยเร็ว.


สู่ดิน ชาวหินฟ้า
10-03-2554

[กลับไปหน้า สารบัญ เวทีความคิด ] - ฝึกพูดออนไลน์ อย่างอิสระฝึกพูดภาษาอังกฤษ ที่บ้าน กับ TOPICA


:คน 43 จำพวก คือ พวกเดียวกัน

คนพวกนี้ อยู่ในตระกูลเดียวกัน

"พวกเป็นกลาง"
"พวกวางตัวเหนือเหตุผล"
"พวกเห็นคนไม่ใช่คน"
"พวกสร้างอิทธิพลอำนาจ"
"พวกประกาศสันติอหิงสา แต่ถือศาสตราไว้ข้างหลัง"
"พวกพลังเงียบ"
"พวกเอาเปรียบสังคม"
"พวกนิยมละครน้ำเน่า"
"พวกทำดีเอาหน้า"
"พวกปากกล้าขาสั่น"
"พวกปลุกปั่นยุยง"
"พวกหลงผิดคิดอุบาทว์"
"พวกอำมาตย์จัญไร"
"พวกไพร่สถุล"
"พวกลืมบุญคุณครูอาจารย์"
"พวกเก็บอุดมการณ์ไว้ในลิ้นชัก"
"พวกมักง่ายเห็นแก่ตัว"
"พวกคิดชั่วล้มปืนล้มเจ้า"
"พวกชอบกินข้าวปนกับขี้"
"พวกเห็นคนดีเป็นคนชั่ว"
"พวกพูดมั่วตระบัดสัตย์"
"พวกไร้สมบัติผู้ดี"
"พวกจิ้งจกไร้สี"
"พวกมีจิตริษยา"
"พวกเห็นคนอื่นดีกว่าแล้วไม่สบายใจ"
"พวกชอบประชาธิปไตยนับหัว"
"พวกอำพรางตัวไม่ทราบฝ่าย"
"พวกสมองลาปัญญาควาย"
"พวกทำตัวสบายใส่เกียร์ว่าง"
"พวกวางตัวเป็น แตงโม มะเขือเทศ"
"พวกเพศเพี้ยนสับสน"
"พวกโจรในเครื่องแบบ"
"พวกอีแอบสีกากี"
"พวกมีมากลากไป"
"พวกเอาหูไปนาเอาตาไปไร่"
"พวกปล่อยให้คนดีถูกด่าแล้วนิ่งเฉย"
"พวกละเลยนอนหลับทับสิทธิ์"
"พวกติดบ่วงสวรรค์"
"พวกสมานฉันท์กับคนผิด"
"พวกคอมมิวนิสต์กลับชาติมาเกิด"
"พวกชูเชิดระบอบทักษิณ"
"พวกโกงบ้านกินเมือง"
"พวกฝันเฟื่องสันติภาพ".


สู่ดิน ชาวหินฟ้า
05-06-2553

[กลับไปหน้า สารบัญ เวทีความคิด ] - ป.ตรี ม.แสตมฟอร์ด (Bachelor degree: UG General - Stamford International University)


 

 
  thinking focus new idea today
คำคม คำคิด แง่คิด ชีวิตดี
 


igood media copyright
 
SUDIN CHAOHINFA, igoodmedia.net : Administration and Producer
Copyright © 2010-2016 intelligence good media homeschool.
All rights reserved. me@igoodmedia.net