ภาคที่ 1 บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ ตอนที่ 16 ภาพลวงตา
โชคเข้าข้างพวกเด็กๆ บ่ายแก่ๆ พวกเขาเดินทะลุป่า ออกมาพบทุ่งโล่ง มองเห็นทะเลสาบไกลๆ ด้านหลังทะเลสาบ เป็นภูเขาหินสลับซับซ้อน แซมด้วยป่าสน มองเห็นแสงจากดวงตะวัน ที่ลอดออกมา ระหว่างกลีบเมฆกับสันเขา. พวกเขาพากันเร่งฝีเท้า เดินไปให้ถึงจุดหมายแรก ซึ่งอยู่ไม่ไกล.
ไม่นาน ก็มาถึงบริเวณริมฝั่งทะเลสาป เป็นเนินเตี้ยๆ. จากจุดที่พวกเขายืนอยู่ ห่างออกไปสักห้าสิบก้าว มองเห็นเงาสะท้อนของท้องฟ้า และก้อนเมฆประปราย บนพื้นผิวน้ำ. จากเนินดินนี่ ลงไป เป็นทางเดินเท้า ที่มีแผ่นหินทราย โผล่จากพื้นหญ้าเขียว เป็นระยะๆ เหมือนมีคนมาสร้างไว้. สองข้างทาง เต็มไปด้วยดอกไม้ป่า ที่คณะเดินทางไม่เคยเห็นมาก่อน, ลำต้นและใบ มีสีเขียว เหมือนต้นไม้ปกติ แต่ดอกของมันนั่นสิ ไม่รู้ทำด้วยอะไร กลีบดอกที่เห็น เป็นสีสันต่างๆ ขาว ชมพู เหลือง แดงสด ม่วง แต่ใสเหมือนกระจก. บางดอกก็ใสขุ่นเหมือนกระจกฝ้า และมีกลิ่นหอมมหัศจรรย์.
พวกเด็กๆ รู้สึกตื่นเต้น ดีใจ และพากันชื่นชม หัวเราะ หยอกล้อเล่นกัน พวกพี่เลี้ยงก็พลอยตื่นเต้นดีใจไปด้วย. คงมีแต่จาอู รู้นิสัยและธรรมชาติของป่าดี มีบางสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ, สัญชาติญาณเขาบอกว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่าเพิ่งตัดสินในสิ่งที่ได้ยิน สิ่งลี้ลับในป่ามันน่ากลัวพอๆ กับสิ่งยั่วยวน. จาอู ยังคงไม่ไว้วางใจในป่านี้, เขาสอดส่ายสายตาไปรอบๆ และคอยระวังหลังให้พวกเพื่อนๆ และเด็กๆ.
จาอู ลังเลครู่หนึ่ง, อาจจะจริงอย่างที่สังข์พูด. ก็มันพ้นเขตป่ามรณะมาแล้วนี่ และตลอดทางหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ, คิดว่าที่นี่น่าจะปลอดภัยแล้ว. เขารู้สึกสบายใจขึ้น จึงปล่อยให้พวกเด็กๆ และพี่เลี้ยง เป็นอิสระ, พากันไปชื่นชมความงาม เป็นการผ่อนคลายอิริยาบถ ที่เหนื่อยกันมาทั้งวัน. เอื้อย รีบวิ่งไปที่ชะง่อนหิน ริมฝั่งที่มองเห็นอยู่ข้างหน้า โสนน้อยกับสังข์ แวะชมสวนดอกไม้อัศจรรย์. โสนน้อย ยื่นมือไปแตะดอกไม้ดอกที่สวยที่สุด, สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น. ดอกไม้ที่ถูกมือน้อยๆ ของโสนน้อยสัมผัส ก็สลายกลายเป็นละอองเกสร ปลิวหายไปในอากาศ ทิ้งกลิ่นหอม ล่องลอยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง. สังข์ โสนน้อย รู้สึกตื่นเต้น เพราะไม่เคยพบสิ่งมหัศจรรย์นี้มาก่อน.
สังข์ ชวน โสนน้อย ไปดูทางอื่นต่อ. คณะพี่เลี้ยงพากันกระโดดโลดเต้น หัวเราะสนุกสนาน ไปกับสิ่งสวยงามที่อยู่เบื้องหน้า.
เอื้อย แอบมานั่งที่ชะง่อนหิน ซึ่งยื่นไปในแอ่งน้ำ ริมฝั่งทะเลสาบ มองลงไปข้างล่าง ด้วยสีหน้าเศร้าเล็กน้อย.
ขณะที่ เอื้อยคิดอะไรเพลินๆ, สังข์ โสนน้อย ก็เข้านั่งใกล้ๆ. สังข์ ทิ้งตัวลงนอน เอาอกแนบราบกับพื้นชะง่อนหิน ปล่อยมือทั้งสองข้าง สัมผัสกับผิวน้ำ อย่างอิสระ. เด็กทั้งสามคน มองเห็นใบหน้า มอมแมมของตัวเอง.
จาอู ยืนดูพวกเด็กๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย. อัง กาก้า บันตู และ มาลา เดินสังเกตการณ์อยู่รอบๆ. ซู ปลีกตัวอยู่ห่างออกไป, เขารู้สึกมีพลังบางสิ่ง ดึงดูดให้เข้าไปที่บ่อน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น. เท้าของเขา ขยับเข้าไปใกล้ โดยไม่รู้สึกตัว. ซูชะเง้อมองลงไปในบ่อ เขารู้สึกตื่นเต้น และอยากรู้ว่า สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ ใต้ผิวน้ำนั่น คืออะไร.
โสนน้อยพูด พลางค่อยๆ ยื่นมือลงไปแตะที่ผิวน้ำ สังข์เริ่มรู้สึกสนุกด้วย จึงหย่อนมือลงไปในน้ำ ให้ลึกกว่าเดิม
เพียงชั่วเวลาเข็มนาฬิกาวินาทีกระดิก สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับ สังข์
สังข์ ร้องตะโกน ราวกับว่า มีสิ่งหนึ่งใต้ผิวน้ำ กำลังฉุดกระชากลากมือของเขา ลงไปในนั้น. สังข์ ออกแรงต่อสู้ พยายามดึงมือขึ้น ก่อนที่มันจะลากเขาลงไปในน้ำ. โสนน้อยกับเอื้อย ผงะลุกขึ้นด้วยความตกใจ. เอื้อย ตะโกนสุดเสียง
สังข์ ดึงมือขึ้นมาจากน้ำ พลิกตัวหงาย ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น หันไปมองหน้าเอื้อย พร้อมกับชูขึ้น สลัดน้ำกระเด็นกระดอนไปทั่ว. จาอู วิ่งหน้าตื่นเข้ามา.
เอื้อย โกรธและงอน ผลักสังข์จนเอนหลังไป. โสนน้อยหัวเราะ เอื้อย รู้ตัวว่าถูกหลอก ก็หัวเราะตามขึ้นมาอีกคน. อัง กาก้า และ บันตู ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พากันหัวเราะไปด้วย. จาอู ก็อดยิ้มขำๆ กับพวกเด็กๆ ไม่ได้. เสียงหัวเราะ ละลายความเหน็ดเหนื่อยลงไปได้ไม่นาน, มาลา ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาบอก จาอู. พวกเด็กๆ ตกใจ เมื่อรู้ว่า ซู ตกลงไปในบ่อน้ำข้างทาง. ทุกคนจึงรีบพากันวิ่งตาม มาลา ไป.
เสียงเรียกของ ซู อยู่ในบ่อน้ำนั่น, ดูไกลๆ ด้วยตาเปล่า มันก็แค่บ่อน้ำเล็กๆ ที่อยู่ติดกับทางเดิน แต่มีชะง่อนหิน ยื่นเข้าไป เกือบถึงใจกลางบ่อ. บ่อน้ำประหลาดนั่น ปากบ่อไม่กว้างมากนัก ขนาดช้างเชือกย่อมๆ หล่นลงไปได้สบาย แต่ข้างในเป็นโพลงขนาดใหญ่ ลึกลงไปราวสามช่วงตัวคน เป็นแอ่งน้ำหมุนวน พร้อมที่จะดูดทุกสิ่งที่ตกลงไปในนั้น. ซู พยายามลอยคอผลุบๆ โผล่ๆ ในบ่อ. ทุกคนพยายามหาทางช่วยซู ก่อนจะจมน้ำ. ซูคว้าแขนงรากไม้ ที่ยื่นออกมาจากผนังขอบบ่อไว้ได้, ลากตัวเองขึ้นจากน้ำ อีกมือคว้ารากไม้ที่อยู่สูงขึ้นมา, ยิ่งขึ้นสูงมันก็ยิ่งเว้าเข้าไป. จาอู หย่อนเชือกลงไป แต่เขาอยู่ลึกเกินไป มือคว้าเชือกไม่ถึง. แม้ว่าจาอู จะเหวี่ยงเชือกให้เข้าไปใกล้ที่สุดแล้ว ก็ยังไม่ถึงอยู่ดี เชือกมันไปติดกับรากกิ่ง ที่ขวางหน้าอยู่ระเกะระกะ. ซู ตัดสินใจ เหวี่ยงตัวเอื้อมมือไปคว้าเชือก, แต่คว้าพลาด ตกลงไปในบ่อนั้นอีกครั้ง. คราวนี้ เขาถูกน้ำวนดูดหายไป. ทุกคนถึงกับตกตะลึง. อังกับมาลา วิ่งไปรอบๆ ขอบบ่อ ร้องเอะอะ รู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถช่วยซูไว้ได้.
บรรยากาศความสูญเสียเพื่อนร่วมทาง หยุดเข็มนาฬิกาไว้ นานเป็นชั่วโมง. พวกเขาพากันนั่งลง ที่บริเวณขอบบ่อ ด้วยอาการหมดแรง, ไม่คิดว่าเรื่องนี้ มันจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้. เมื่อหมดหวังที่จะช่วยซู จาอู จึงบอกให้สมาชิกทุกคน รีบเก็บข้าวของเพื่อเดินทางต่อไป. แต่สังข์ ไม่เห็นด้วย.
จาอู นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า, เห็นด้วยกับสังข.์ เขาอาจตัดสินใจเร็วไป ก็ดีเหมือนกัน จาอูเองก็ยังมีข้อกังขา ต่อการสูญเสียลูกทีมไป. อยู่รออีกสักคืน เขาเริ่มมีความหวังว่า ซูอาจจะยังไม่ตายก็ได้, การตั้งค่ายพักที่นี่ อาจมีโอกาสหาซูเจอในวันรุ่งขึ้น.
ทุกคนเห็นพ้องกัน และต่างรู้หน้าที่กันดี ในการตั้งค่ายพักแรม โดยไม่ต้องมีการออกคำสั่ง. ตั้งแต่หาฟืน ก่อกองไฟ จัดทำอาหาร ทำเขตป้องกันภัย ใครว่างก็ไปอาบน้ำก่อน ... ภารกิจทุกอย่างเสร็จสิ้น ก่อนตะวันหยุดส่องแสง. ระหว่างล้อมวงกินอาหารค่ำ รอบกองไฟ, จาอู สังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง เคลื่อนไหว อยู่ใกล้ริมทะเลสาบ. สัญชาติญาณระวังภัย ทำให้เขาหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่นั่น. มันเป็นสัตว์หรือปีศาจกันแน่, เขาต้องรู้ให้ได้. จาอู ค่อยๆ คลานไปตามพื้นหญ้าอย่างเงียบๆ พร้อมอาวุธในมือ.
สังข์ กับ มาลา ถือคบไฟวิ่งพรวดพราดออกไป. ... สักครู่ จาอู ประคอง ซู เดินมา ที่แคมป์พัก, พาลงนั่งข้างกองไฟ ถอดเปลี่ยนเสื้อผ้า ที่เปียกชุ่มด้วยน้ำ ออกผึ่งไฟ. เอื้อย สังเกต ซู มีอาการผิดปกติ แววตาของเขาดูแข็งทื่อ.
มาลา กับ บันตู ทำหน้าที่ดูแล ซู. บันตู รีบเอาปั้นข้าวย่างไฟใหม่ๆ ยัดใส่ปากเขา. ซู เคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยความหิว เอื้อย เอามือแตะที่หน้าผาก, เขามีไข้. เอื้อยจึงเอายาให้กินก่อนนอน. เมื่อเห็นว่าทุกอย่างน่าจะปกติดีแล้ว, จาอู สั่งให้ทุกคนเข้านอน เขาจะนั่งเฝ้ายามแรก.
คืนนี้ท้องฟ้าแจ่มใสมาก เมฆบางๆ เมื่อตอนบ่ายแก่ๆ หายไปหมดสิ้น. ทุกคนเข้านอน ท่ามกลางหมู่ดวงดาวบนท้องฟ้า ส่องแสงระยิบระยับ, เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ กองไฟเหลือแต่ถ่านไฟสีแดง.
สังข์รู้สึกตัว ได้ยินเสียง เหมือนกลุ่มคนคุยกัน, ดังแว่วมาแต่ไกล แต่ฟังไม่ได้ศัพท์. เขาจึงลุกขึ้น มองดูไปที่เสียงนั่น. อะไรกันนี่! ... มีสิ่งมหัศจรรย์ เกิดขึ้นอีกแล้ว. บนเกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเขา, ปรากฏละอองหมอก สีเขียว สีฟ้า สีขาว สีม่วง สีเหลือง ปลิวโปรยปรายมาจากท้องฟ้า เป็นระลอก สลับสีกันคล้ายม่านใส ถูกแรงลมกระพือพัดเบาๆ. แสงสีต่างๆ ของละอองหมอก ส่องสว่างไปทั่วบริเวณเกาะ มองเห็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่อยู่บนลานหิน และผิวน้ำรอบๆ เกาะ. แต่ก็ยังห่างไป มองเห็นไม่ชัดสักเท่าไร. สังข์ จึงคลานไปปลุก โสนน้อย กับ เอื้อย ให้ตื่นขึ้นมาดู. เด็กทั้งสาม ตะลึงกับภาพที่เห็น. จึงตกลงพากันคลานเข้าไปดูให้ใกล้กว่านี้.
อัง ก้าก้า บันตู มาลา และ ซู ยังหลับสนิท. จาอู รู้สึกตัว มองไม่เห็นเด็กๆ บนที่นอน, เขาสอดส่ายสายตา ไปในความสลัวของบรรยากาศรอบข้าง. และแล้ว ... จาอู ก็พลอยตื่นตะลึง กับปรากฏการณ์นั่นด้วยอีกคน. แต่พวกเด็กๆ พากันคลานออกไปแล้ว เขาพยายามจะห้าม แต่ก็ห้ามไม่ทัน. เขาจึงจำเป็นต้องตามไป.
มนุษย์ทั้งสี่คน หยุดนิ่งอยู่หลังโขดหิน เหมือนถูกสาป. พวกเขาแอบซุ่มดูภาพมหัศจรรย์นั่น. ... สิ่งพวกนั้น เป็นมนุษย์หรือสัตว์กันแน่ หรือว่าเป็นเทวดา. ร่างกายส่วนหัวและลำตัว เป็นมนุษย์ จมูก ปาก ขา เหมือนนก มีปีกงอกที่หลัง. พากันบินมาจากบนฟ้า ตัวแล้วตัวเล่า, บางพวกก็มีผิวสีค่อนข้างใสขุ่น บางพวกก็ขาวนวล สีชมพูก็มี ดูช่างสวยงามอะไรเช่นนี้. บ้างก็เอามือไซร้ขน บ้างก็เอาหัวซบกัน บ้างก็ลงเล่นน้ำ เป็นกลุ่ม เป็นคู่.
จาอู และเด็กๆ เพลิดเพลินได้ไม่นาน, ก็ได้ยินเสียงตะโกนของมาลา ดังมาจากที่พักแรม.
เสียงเรียกของมาลา ดังไปถึงเกาะกลางทะเลสาป, ทำให้พวกอมนุษย์เหล่านั้น ตกใจ พากันบินหนี หายไปในท้องฟ้า จนไม่เหลือแม้แต่ผู้เดียว. โสนน้อย บ่นเสียดาย ที่ยังดูไม่เต็มอิ่ม.
จาอู สังข์ โสนน้อย เอื้อย พากันกลับมายังที่พัก, รู้สึกประหลาดใจ เห็น มาลา กับ บันตู กำลังประคองซูให้ลุกขึ้นนั่ง. มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าของเขา. เขาเพ้อด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง. บันตู รู้สึกตื่นกลัว และเป็นกังวล เมื่อเห็นอาการเพ้อของเพื่อน ราวกับว่า เขามองเห็นความกลัว ที่เป็นภาพหลอน อยู่ในหัวของซู.
ซู ดิ้นขลุกขลัก นัยน์ตากลอกกลิ้งไปมา, ทั้งๆ ที่เปลือกตายังปิดอยู่. เหมือนเขาพยายามจะอธิบาย บางสิ่งบางอย่างที่เขารู้สึก แต่ก็ฟังไม่ได้ความหมายอะไร. ... สักครู่ ซู หลับไปอีกครั้ง ด้วยความอ่อนเพลีย. สร้างปมปริศนาใหม่ ให้แก่เพื่อนร่วมทางว่า อาการแปลกประหลาดของซู เกิดจากถูกปีศาจเข้าสิง หรือว่าเพราะพิษไข้กันแน่.
ในวังน้ำวน ซู ถูกกระแสน้ำ ดูดจมลงไปนานเท่าไรไม่รู้. เขาหายใจไม่ออก สำลักน้ำไปสองที รู้สึกกำลังจะตาย แต่ก็ปรากฏสิ่งหนึ่ง, รูปร่างคล้ายศีรษะหินแกะสลัก รูปใบหน้าคนป่า บนผนังหน้าผาติดกับทางเดิน ที่เขาเห็นเมื่อวันก่อน. สิ่งนั้น พูดกับเขาว่า ข้าให้ชีวิตเจ้า เจ้าจงเอาสิ่งนั้นมาให้ข้า
บันตู กับ กาก้า อยู่เวรยามถัดไปจนกระทั่งเช้า.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|