ภาคที่ 3 บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง ตอนที่ 102 อำนาจใหม่
เหตุการณ์เขย่าบัลลังก์ ของท่านผู้นำนครรัฐ รุนแรงถึงขั้นเอาชีวิต. กลุ่มผู้ก่อการ หวังผลแก้แค้นเป็นการส่วนตัว และให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ. แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับผู้ก่อการ ในการถ่ายโอนอำนาจแบบกะทันหัน. เพราะฝ่ายผู้ก่อการเอง กระทำการไร้ความชอบธรรม และไม่มีเหตุผลเพียงพอ ที่จะทำการปฏิวัติ ยึดอำนาจ.
ตลอดเวลา 3 ปี ประเทศนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย, ทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และสังคม. ทั้งหมด เป็นผลงานการบริหารนครรัฐของ สมลักษณ์ วงศ์นรา ในฐานะผู้นำสูงสุด ร่วมกับองค์คณะมนตรีที่ซื่อสัตย์ และสภาลูกขุน ที่สนับสนุนเขา.
แต่ในทัศนะของ ผู้สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมือง. กลุ่มผู้ก่อการมองว่า การบริหารประเทศนี้ ยังดำเนินอยู่ต่อไปได้ เพราะอิงขั้วอำนาจเพียงด้านเดียว. เป็นเหตุให้พวกเขา ไม่ละความพยายาม ที่จะช่วงชิงอำนาจนั้น มาอยู่ในฝ่ายของตนให้เร็วที่สุด.
เวลาประมาณ 21.00 น. เจ้าหน้าที่หน่วยอารักขาท่านผู้นำ ที่ประจำการอยู่ด้านนอกตึกผู้ป่วยฉุกเฉิน 2 นาย ถูกถล่มยิงแบบไม่ทันตั้งตัว ตามด้วยระเบิดแก๊สน้ำตา และระเบิดควัน. เกิดความโกลาหลไปทั่วบริเวณตึก, เสียงปืนยิงต่อสู้กัน เริ่มขึ้น. แก๊สน้ำตาถูกยิงเข้ามา ตกที่ด้านข้างตึกอีกหลายลูก. ควันพวยพุ่งไปรอบๆ อาคารห้องฉุกเฉิน.
เสียงปืนและระเบิดข้างนอก ปลุกสัญชาตญาณการปกป้องของ สังข์ ให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว.
สังข์ บอกภรรยา และออกคำสั่ง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 2 นาย รีบพา รจนาและท่านหญิง เข้าไปในห้องควบคุมพิเศษ ที่เตรียมป้องกันภัยไว้อย่างดี. เจ้าหน้าที่อารักขาท่านผู้นำ 3 นาย พร้อมอาวุธเตรียมพร้อมเต็มพิกัด วิ่งสวนเข้ามาในห้องฉุกเฉิน, เข้าประจำจุด อารักขาประตูห้องคนไข้ฉุกเฉินไว้.
สังข์ ออกมาดูเหตุการณ์ข้างนอก. กระสุนปืนวิ่งเฉียดลำตัวเป็นชุด ไปถูกเจ้าหน้าที่ ด้านหลังซึ่งอยู่แนววิถีกระสุนพอดี. เสียงปืนสงบลงชั่วครู่, สังข์ ฉวยโอกาสเหวี่ยงลำตัว ฝ่ากลุ่มควัน คว้าเอาปืนของเจ้าหน้าที่ ที่นอนตายอยู่ข้างๆ ขึ้นมาไว้แนบลำตัว, ตรวจสอบปืน กลไกพร้อม กระสุนพร้อม.
สังข์ เคลื่อนกายหลบซ่อนตัว ที่ซอกตึก ให้เป็นที่กำบังวิถีกระสุน. คนร้ายชุดดำ อาวุธครบมือ 3 คน เคลื่อนผ่านเขาไป เป้าหมายห้องคนไข้ฉุกเฉิน. แต่กลายเป็นเป้าอย่างดี, สังข์ ลั่นกระสุนใส่ ล้มคว่ำไป 2 คน. อีกคนหนึ่ง ยังพอมีสติ ยิงสวนมา แต่กระสุนพลาดเป้า. สังข์ รอจังหวะอยู่แล้ว ส่งร่างของคนร้ายชุดดำ ล้มคว่ำไปอีกคน.
สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นเลย. ชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่ง เท่าที่เห็น นับได้ 7 คน เคลื่อนมาสมทบ, แล้วรุมยิงตอบโต้. แต่หมอกควันเป็นอุปสรรค เป้าหมายสังหารของพวกคนร้าย ไม่ชัดเจน. ทำให้ สังข์ ไหวตัวทันเสียก่อน, กระสุนพลาดเป้า. เจ้าหน้าที่อารักขาที่เหลืออยู่ 2 คน ออกมาช่วยยิงสกัดคนร้ายชายชุดดำ ไม่ให้เข้ามาถึงประตูห้องฉุกเฉิน.
สังข์ วิเคราะห์สถานการณ์. กลุ่มหมอกควัน สร้างทัศนวิสัย ที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ. ไม่รู้ว่ากลุ่มคนร้ายถูกยิงตายไปกี่คน เหลือกี่คน. เสียงปืน ยังยิงตอบโต้กันไม่ขาดระยะ. วิเคราะห์เสร็จ เจ้าหน้าที่อารักขา หนึ่งในสองคนที่เหลืออยู่ โชคร้าย ถูกยิงที่ขา. สถานการณ์ไม่ดีเลย, สังข์ ยิงสกัดไว้ เพื่อหน่วงเวลา ให้เขาลากตัวเอง ถอยร่นออกมา. แต่ท้ายที่สุด เขาก็ไม่รอด, ถูกยิงซ้ำแน่นิ่งไป. สังข์ จำเป็นต้องถอยกลับไป รักษาประตูห้องฉุกเฉิน รวมกับเจ้าหน้าที่ ที่เหลือเพียงคนเดียว. เสียงปืน เบาบางลงมาแล้ว.
คนร้ายชุดดำ 3 คน บุกเข้ามาถึงหน้าห้องคนไข้ฉุกเฉิน. สังข์ ประเมินแล้วว่า พวกเขาคงเหลือแค่นี้ เพราะเสียงปืนข้างนอกสงบลงแล้ว. ชายชุดดำทั้งสามคน ย่างเท้าเดินเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว. สังข์ รู้ทันทีว่า คนร้ายก็รู้เช่นเดียวกันว่า ต่างฝ่ายก็ไม่มีกระสุนปืนเหลืออยู่เลย.
ความได้เปรียบเสียเปรียบ ขึ้นอยู่กับชั้นเชิงหมัด และอาวุธมีดที่พกซ่อน. สังข์ คงไม่รอให้พวกเขา เข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ง่ายๆ. เจ้าหน้าที่ที่เหลือคนสุดท้าย ปะทะหน้าไว้ก่อน, แต่คนร้ายชั้นเชิงเหนือกว่ามาก ชักมีดออกมา จ้วงแทงสวนออกไป. เจ้าหน้าที่ไม่ทันระวังตัว, ถูกแทงในจุดสำคัญ ล้มลงอย่างหมดทางสู้. ตอนนี้ สังข์ ต้องพึ่งตัวเองแล้ว. ทุกชีวิตในห้องฉุกเฉิน โดยเฉพาะท่านประธานนครรัฐ ในฐานะพ่อตา ฝากชีวิตไว้กับเขาครึ่งหนึ่ง, อีกครึ่งหนึ่ง อยู่ที่ความสามารถของคณะแพทย์.
สังข์ ไม่รอตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ให้มากกว่านี้. เขารีบตัดกำลังศัตรู, เข้าประชิดตัวชายชุดดำ ที่มีมีดอยู่ในมือ, อาศัยความรวดเร็ว ฉวยโอกาสที่คนร้ายอ่อนแรง. สังข์ ตัดกำลังศัตรู ด้วยมีดของศัตรู, จนล้มคว่ำหมดแรงฟุบลงไป. แต่ก็เหนื่อยไม่ใช่เล่น, กว่าจะล้มคนที่แข็งแรงพอๆ กันได้. เขาต้องรีบทำให้จบ เพื่อรีบไปสกัดคนร้ายที่เหลืออีก 2 คน ซึ่งใกล้จะถึงเป้าหมายสังหารแล้ว.
การต่อสู้ระหว่างนักฆ่า 2 คน กับ นักสู้ 1 คน ดำเนินไป โดยมีห้วงเวลาเป็นเครื่องตัดสิน. คนร้ายต้องการจบภารกิจให้เร็วที่สุด, สังข์ต้องขัดขวางให้นานที่สุดเช่นกัน.
รจนา มองดูสถานการณ์ที่ล่อแหลม ผ่านช่องลับ, เห็นฉากการต่อสู้ ระหว่างสามีกับคนร้าย ด้วยจิตใจระทึกและร้อนรน. เธอขอร้องให้เจ้าหน้าที่อารักขา ที่เหลือเพียงคนเดียว เปิดประตู ให้เธอออกไปช่วยสามี แต่เขาไม่อนุญาต เพราะเสี่ยงอันตรายเกินไป.
ฝ่ายหนึ่ง เร่งให้จบงาน อีกฝ่าย ปกป้องให้ถึงที่สุด, แน่นอนว่า สถานการณ์แบบนี้ ย่อมทำให้เหนื่อยและบอบช้ำกัน ทั้ง 3 คน. ในที่สุด น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ, สังข์ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ. ขณะต่อสู้ เขาเสียจังหวะล้มลง. คนร้ายตัวใหญ่ ล็อคตัวเขาไว้ อีกคนชักมีดออกมา หวังกำจัดอุปสรรคสุดท้าย.
สังข์ ตกอยู่ในห้วงเวลาเป็นตายเท่ากัน!
แต่ห้วงเวลาได้เปรียบของคนร้าย ก็หมดอายุลง. ก่อนที่มือมีดสังหาร จะทำการสำเร็จ, ปรากฏคมขวาน หมุนควงสว่านมาจากทิศใดไม่ทราบ ปักฉึกที่หน้าผากของเขา เหมือนจับวาง.
ขณะที่ ห้วงเวลาเสียเปรียบของคนดี ก็หมดอายุลงเช่นกัน. สิงห์ดำ ตามมาช่วยทันเวลาอย่างหวุดวิด. ขวานเสียบคาที่หน้าผาคนร้าย เลือดไหลทะลักออกมา. คนร้ายที่เหลือเพียงคนเดียว ยังไม่ทันจะตัดสินใจทำอะไรต่อ ก็ถูก เอื้อย ถีบกระเด็นไป กระแทกราวเหล็ก, และใช้หลังเท้าที่เธอถนัด กำจัดอุปสรรคสุดท้าย เตะที่บริเวณก้านคอ จนคนร้ายสลบแน่นิ่งไป.
สังข์ พยุงตัวลุกขึ้น. เอื้อย รีบเปิดประตูเข้าไปดูข้างใน. พยาบาล 4 คน ยังนั่งตัวสั่น หลบซ่อนอยู่ที่พื้น ข้างเตียงคนไข้.
ด้านนอกห้องไอซียู เจ้าหน้าที่อารักขาท่านผู้นำ รจนาและ ท่านหญิงมณฑิรา เดินออกจากห้องควบคุมพิเศษ. รจนา ทั้งตื่นตระหนกทั้งดีใจ เข้าสวมกอดสามีไว้แน่น. อีกด้านหนึ่ง กองทหารองครักษ์ประธานนครรัฐ เข้าควบคุมสถานการณ์ที่โรงพยาบาลไว้ได้ อยู่ระหว่างการเคลียร์พื้นที่.
ทุกคนดีใจและรู้สึกโล่งใจ ที่รอดชีวิต มาได้อย่างปลอดภัย.
รจนา ตัดสินใจ และสั่งการเจ้าหน้าที่.
เจ้าหน้าที่อารักขาท่านผู้นำ วิทยุติดต่อไปยังศูนย์บัญชาการ.
2 นาที ต่อมา. มีเสียงตอบรับกลับมาทางวิทยุสื่อสาร. รจนา สนทนากับท่านนายพล. ทราบว่า ท่านอยู่ระหว่างเดินทางออกมาดูเหตุการณ์ และท่านให้ทุกคนรอท่านที่โรงพยาบาล.
ระหว่างรอท่านนายพล, รจนา มณฑิรา และสังข์ เข้าไปดูอาการของ สมลักษณ์. ขณะนี้ท่านรู้สึกตัวแล้ว แต่มีอาการไม่ดีเลย. สถานการณ์นี้ รจนา พยายามไม่แสดงความอ่อนแอ ออกมาให้เห็น.
เสียงของท่าน แผ่วเบาเกือบกระซิบ. รจนา ดูสภาพพ่อแล้ว, เธอคาดไม่ถึงว่า การแก้แค้นของศัตรู จะส่งผลให้พ่อ มีอาการหนักขนาดนี้. นี่คือผลจากสิ่งที่พ่อทำดีมาตลอด 3 ปี. เธอพูดกระซิบเบาๆ ให้กำลังใจพ่อ.
สมลักษณ์ เอ่ยคำนี้, น้ำตาของเธอก็ไหลซึมออกมา. เธอเฝ้ารอคำนี้จากพ่อ มานานถึง 3 ปีเต็มๆ. แต่เมื่อถึงเวลากลับบ้านจริงๆ ต้องมาแลกกับชีวิตของพ่อ. ดูสภาพของผู้เป็นพ่อตอนนี้ คงอยู่ได้อีกไม่นาน.
สมลักษณ์ รวบรวมสติ สู้กับความเจ็บปวด. เขาควรบอกในสิ่งที่จำเป็น ก่อนที่จะไม่มีเวลาได้พูด, ในฐานะผู้นำประเทศ และ ในฐานะพ่อ.
สมลักษณ์ ชำเรืองมอง บุคคลที่เขาเคยรังเกียจ.
และนั่นคือประโยคสุดท้าย ของท่านประธานนครรัฐเทพนารา, ท่ามกลางสายตาทุกคู่ ที่มาเฝ้าดูใจ.
ร่างไร้วิญญาณของท่าน นอนสงบนิ่ง, เสียงกระซิบร่ำไห้ ของภรรยาและบุตรสาว ดูเศร้าสะเทือนใจสุดประมาณ. ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้า ท่านนายพลรังสรรค์ก็มาถึง. ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ สำหรับท่าน. ภาพเบื้องหน้า ท่านทราบแล้วว่า ประธานนครรัฐถึงแก่อสัญกรรมแล้ว. นายพลรังสรรค์ แสดงคาระวะต่อศพของท่านประธาน.
เมื่อเห็นว่าทุกคนพอจะทำใจ กับการจากไปของท่านประธานได้แล้ว, นายพลรังสรรค์ ก็เข้าไปกระซิบให้ท่านหญิงมณฑิรา ทราบจุดประสงค์ของท่าน.
ท่านนายพล พูดคุยกับท่านหญิงมณฑิรา อยู่นานราว 5 นาที ด้วยท่าทีเคร่งเครียด. ไม่มีใครรู้ว่า ข้อสรุปเป็นอย่างไร ทราบแต่เพียงว่า ...
มณฑิรา พยักหน้าให้ รจนา สังข์ และทุกคน ทราบเจตนาของท่านนายพล.
...
เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ มณฑิรา จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่อารักขาท่านผู้นำ ไปรับ สังขวุฒิ กับ รจนา ย้ายกลับเข้าคฤหาสน์. และให้เนติ เป็นคนขับรถให้แก่ท่านหญิง แทนท่านประธานที่ถึงแก่อสัญกรรมไป.
นครรัฐเทพนารา ว่างจากผู้นำได้เพียงสัปดาห์เดียว, คณะลูกขุน ซึ่งถือว่ายังมีอำนาจรักษาการ ตามกฎธรรมนูญของนครรัฐ. หากท่านผู้นำคนก่อน มิได้สั่งไว้ว่า จะให้ผู้ใดสืบทอดอำนาจต่อ คณะลูกขุน จะต้องคัดเลือกผู้นำคนต่อไป. ส่วนคณะมนตรีที่เหลืออยู่ ก็หมดอำนาจลง ตามวาระการดำรงตำแหน่ง ของประธานนครรัฐคนปัจจุบัน.
แต่ท่านประธานนครรัฐคนปัจจุบัน ไม่ได้สั่งเป็นลายลักษณ์อักษร, เป็นแค่คำสั่งด้วยวาจา ก่อนท่านจะถึงแก่อสัญกรรม และก็ไม่มีความชัดเจน. จึงถือเป็นกรณีที่คณะลูกขุน จะต้องประชุมกันอีกครั้ง. จากการพิจารณาอย่างรอบคอบที่สุดแล้ว คณะลูกขุน 25 คน จากจำนวน 30 คน มีมติให้ รจนารินี วงศ์นารา ซึ่งเป็นบุตรสาวคนเดียว ของท่านประธานนครรัฐ สมลักษณ์ วงศ์นารา ผู้เป็นบิดา, สืบทอดอำนาจผู้นำสูงสุดแห่งนครรัฐเทพนารา เป็นลำดับต่อไป.
...
หลังจาก รจนารินี ได้รับการสถาปนาตำแหน่ง เป็นประธานนครรัฐ อย่างถูกต้องตามกฎธรรมนูญแห่งนครรัฐเรียบร้อยแล้ว, เธอประกาศแต่งตั้งให้สามี สังขวุฒิ วิมลมาศ ขึ้นเป็นรองประธานนครรัฐ และดำรงตำแหน่ง มุขมนตรีฝ่ายมหาดไทย. ให้ท่านนายพลรังสรรค์ เลื่อนขึ้นมาเป็นมุขมนตรีฝ่ายกลาโหม, และให้ท่านสกล ชูกิจพาณิชย์ ดำรงตำแหน่งมุขมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ เหมือนเดิม.
และในอีกไม่กี่วันถัดมา รจนารินี ก็เรียก สิงห์ดำ เข้ามาเป็นผู้อำนวยการ หน่วยบัญชาการอารักขาประธานนครรัฐ แทนท่านนายพลรังสรรค์. เอื้อย กับ โสนน้อย ปฏิเสธคำเชิญ ตำแหน่งใดๆ ในทางการ. ขอใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนสันติอรุณต่อไป. และมิตรภาพของพวกเขา กับผู้ครองนครรัฐ ก็ยังอยู่เช่นเดิม.
คดีทุจริตคอรัปชั่น ไม่มีอายุความ, ส่งผลให้การทุจริตคอรัปชั่นของทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง ค่อยๆ หายไป. นครรัฐเทพนารา มีเงินเก็บสะสมเข้ามาในคลังของนครรัฐ เป็นจำนวนเงินก้อนโต และรวดเร็ว. ส่งผลสืบเนื่อง ให้คณะมนตรีของนครรัฐ สามารถประกาศแผนพัฒนาผังเมืองใหม่ และการสร้างรถไฟฟ้าสาธารณะได้เร็วกว่าที่คาด.
สารบัญ / ตอนที่ ปฐมบท -
บทที่ 2 สังข์ เอื้อย โสนน้อย
บทที่ 3 วันสังหาร
บทที่ 4 ชีวิตใหม่กลางภูผา
บทที่ 5 ภูติร้ายในป่ามรณะ
บทที่ 6 ประตูเวลาที่เรือนปีศาจ
บทที่ 7 หนอนทะเลทราย
บทที่ 8 หลุมดำดูดเวลา และการตามล่าของมนุษย์นอกจักรวาล
บทที่ 9 พบเพื่อนใหม่
บทที่ 10 ผจญภัยกลางมหาสมุทร
บทที่ 11 ปาฏิหาริย์ของเทพแห่งลิง
ภาคที่ 2: ฝ่าอุปสรรค เพื่อรักและอิสรภาพ
บทที่ 13 เทคโนโลยีล่องหน
บทที่ 14 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 1)
บทที่ 15 เส้นทางที่พลัดพราก
บทที่ 16 เมืองกาญจนา
บทที่ 17 บ้านของย่าทอง
บทที่ 18 วัยรุ่น วัยรัก วัยเรียน
บทที่ 19 ความรัก ความหวัง ยังไม่สิ้น
บทที่ 20 ตามหาเพื่อน
บทที่ 21 แหกคุกนรก นครพันธุรัฐ (ครั้งที่ 2)
ภาคที่ 3: รักนิรันดร์ ฝันเป็นจริง
บทที่ 23 นครรัฐเทพนารา
บทที่ 24 ชีวิตใหม่ ใจกลางมหานคร
บทที่ 25 ชีวิตจัดสรร ณ สันติอรุณ
บทที่ 26 สัมผัสแรก สัมผัสรัก
บทที่ 27 สังข์ทอง รจนา
บทที่ 28 วิกฤตของนครรัฐ
บทที่ 29 กู้วิกฤต
บทที่ 30 ฝันที่เป็นจริง
ปัจฉิมบท -
เพลง ฝ่าอุปสรรค ตามหารักนิรันดร์
|
|
|